การ “ชัตดาวน์” ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ทุกครั้งที่เกิดขึ้น ล้วนสร้างแรงสั่นสะเทือนในระบบเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่สภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ตามกำหนดสะท้อนถึง “ความแตกแยกทางการเมือง” ที่ลึกซึ้งในประเทศผู้นำโลก ซึ่งกำลังส่งผลกระทบลูกโซ่ไปยังทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่ต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบหลายด้าน
ในมุมเศรษฐกิจโลก การชัตดาวน์สะท้อนสัญญาณความไม่มั่นใจในเสถียรภาพของการบริหารประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่ง นักลงทุนทั่วโลกตอบสนองด้วยการ “หนีความเสี่ยง” (Risk-off) และหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาล ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกสั่นสะเทือนทันที
แม้ผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรงของสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับจำกัด โดยคาดว่า GDP จะลดลงเพียง 0.1-0.3% ต่อสัปดาห์ของการชัตดาวน์ แต่ “ความเชื่อมั่น” ของนักลงทุนที่สั่นคลอนคือปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงกระเพื่อมต่อเนื่องในตลาดเกิดใหม่
ในกรณีของไทย นักลงทุนต่างชาติอาจเลือก “ชะลอการลงทุน” หรือ “ดึงเงินทุนกลับ” จากตลาดทุนและตลาดพันธบัตรไทย ทำให้เกิดภาวะ “เงินทุนไหลออก” และแรงกดดันต่อค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง แม้ในระดับจำกัดก็ตาม
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ย่อมหนีไม่พ้นแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติ ความผันผวนจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและการเงิน ซึ่งอ่อนไหวต่อความเคลื่อนไหวของค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยโลก
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่า หากการชัตดาวน์ไม่ยืดเยื้อ ผลกระทบจะอยู่เพียงในระดับ “ตลาดการเงิน” แต่หากยืดเยื้อเป็นเดือน ความเสี่ยงต่อภาคเศรษฐกิจจริงจะเริ่มชัดเจน โดยเฉพาะต่อการส่งออกและห่วงโซ่อุปทานของไทยที่เชื่อมโยงกับตลาดสหรัฐฯ
ในอีกด้านหนึ่ง ผลกระทบที่ประชาชนไทยจะสัมผัสได้โดยตรง คือ ความล่าช้าในการให้บริการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ในไทย โดยเฉพาะสถานทูตและสถานกงสุล แม้บริการวีซ่าและหนังสือเดินทางจะยังเปิดดำเนินการต่อเนื่อง แต่การที่เจ้าหน้าที่บางส่วนถูกพักงานโดยไม่รับค่าจ้าง (furloughed) อาจทำให้การพิจารณาวีซ่าและเอกสารสำคัญ “ล่าช้า” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ สถานทูตสหรัฐฯ อาจ “งดการอัปเดตโซเชียลมีเดีย” และ “ระงับกิจกรรมที่ไม่จำเป็น” เช่น โครงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในระยะสั้น
ทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ การชัตดาวน์สะท้อน “ภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่อ่อนแอ” และ “ขาดเอกภาพ” ของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำโลก การที่ประเทศมหาอำนาจต้องหยุดชะงักเพราะความขัดแย้งทางการเมืองภายใน ย่อมส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ และลดทอนบทบาทการนำในเวทีโลก
การเจรจาทางการค้า ความตกลงระหว่างประเทศ และนโยบายต่างประเทศหลายด้านจะ “ชะลอตัว” หรือ “หยุดชะงัก” โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สหรัฐฯ พยายามขยายอิทธิพลเพื่อถ่วงดุลจีน การชัตดาวน์ครั้งนี้อาจกลายเป็น “สุญญากาศทางอำนาจ” ที่เปิดช่องให้จีนเร่งเสริมบทบาทในภูมิภาคมากขึ้น
สำหรับไทย ความล่าช้าของการดำเนินงานในหน่วยงานรัฐของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อโครงการความร่วมมือด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจบางส่วน เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความมั่นคง หรือโครงการฝึกอบรมของกองทัพไทยกับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในระดับยุทธศาสตร์ และในระยะสั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นยังอยู่ในขอบเขตจำกัด แต่ในมุมเศรษฐกิจมหภาค จำเป็นต้องจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดทุนและตลาดเงินอย่างใกล้ชิด
หากการชัตดาวน์ยืดเยื้อเกิน 3-4 สัปดาห์ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอาจขยายตัว และนำไปสู่ภาวะ “ความเชื่อมั่นถดถอย” ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกไทยโดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และชิ้นส่วนที่ส่งไปตลาดสหรัฐฯ
นอกจากนี้ หากความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ ยืดเยื้อถึงปีเลือกตั้งประธานาธิบดี 2026 ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะเสาหลักของระเบียบโลกเสรีจะยิ่งถูกตั้งคำถาม และทำให้ประเทศพันธมิตรอย่างไทย ต้องเริ่มวางแผนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรับมือกับ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ที่ชัดเจนมากขึ้น
สำหรับ การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “เหตุการณ์ภายในประเทศ” แต่เป็น “จุดเปลี่ยนเชิงภูมิรัฐศาสตร์” ที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก ไทยในฐานะประเทศเศรษฐกิจเปิดที่พึ่งพาการค้าโลก จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินความเสี่ยงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
แม้ไทยอาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงทันที แต่ในโลกที่เชื่อมโยงกันมากกว่าที่เคย การ “ชัตดาวน์สหรัฐฯ” ครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญของ “ความเปราะบางของระเบียบโลกใหม่” ที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
#USShutdown #ผลกระทบสหรัฐชัตดาวน์ #เศรษฐกิจโลก #การเมืองต่างประเทศ #ข่าววันนี้ #สหรัฐชัตดาวน์ #เศรษฐกิจโลก #เศรษฐกิจไทย #ตลาดหุ้นไทย #การเมืองสหรัฐ #บาทอ่อน #ทุนไหลออก #SETIndex #สหรัฐอเมริกา #วิเคราะห์การเมืองต่างประเทศ