การแถลงนโยบายรัฐบาลใหม่ต่อรัฐสภา เพิ่งเสร็จสิ้นลงไป แต่ดูเหมือนว่า ตลอด 2วันในการประชุมรัฐสภา ผู้คนในสังคมจะได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า “ปรากฎการณ์ใหม่” เกิดภาพเปรียบเทียบตัดกันอย่างชัดเจน ระหว่าง “นักการเมือง” กับ “รัฐมนตรีคนนอก” ที่ล้วนมาจากภาคเอกชน และมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญ มีความสามารถในการทำงานที่โดดเด่น
และที่ถูกจับตา ไม่แพ้ใคร คือ “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รมว.การต่างประเทศ ที่เพิ่งโชว์ศักยภาพทางการทูต บนเวที UNGA 80 ที่ยูเอ็น มาสดๆร้อนๆ ก่อนที่สีหศักดิ์ จะเข้ามาแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ร่วมกับ “นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย

น่าสนใจว่า ประเด็นในการชี้แจงของ “รมว.บัวแก้วคนใหม่” อดีตนักการทูตของไทย ได้สร้างความเข้าใจและเสียงชื่นชม เป็นครั้งที่สอง โดยก่อนหน้านี้ สีหศักดิ์ ได้กล่าวถ้อยแถลง ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 27 ก.ย.68 โดยได้ร่างคำแถลงขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ “ปรัก สุคน” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา “เล่นบทเหยื่อ” ในเวทีเดียวกัน
“ เป็นที่น่าเสียใจว่า กัมพูชายังคงสร้างภาพให้ตนเป็นผู้ถูกกระทำ กัมพูชาได้ให้ข้อเท็จจริงในแบบฉบับของตน ที่ไม่สามารถยืนยันได้เมื่อถูกตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งก็เป็นเพราะว่า สิ่งที่กล่าวเป็นการบิดเบือนความจริง
เราต่างรู้ว่าใครคือผู้ถูกกระทำที่แท้จริง ผู้ถูกกระทำที่แท้จริงคือ ทหารไทยที่ต้องสูญเสียขาจากหุ่นระเบิด คือเด็ก ๆ ที่โรงเรียนถูกโจมตี และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจับจ่ายซื้อของในวันนั้น ทีทร้านสะดวกซื้อที่ถูกโจมตีจากจรวดของฝ่ายกัมพูชา” บางส่วนจากคำแถลง จากสีหศักดิ์ บนเวที UNGA
และในการชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 ก.ย. สีหศักดิ์ ต่อประเด็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ว่า สำหรับยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาดังกล่าวต้องก้าวข้ามความขัดแย้งที่มีอยู่ระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับการเจรจาจะคำนึงถึงสันติ แต่ไม่เกี่ยวกับอธิปไตยแห่งดินแดน ทั้งนี้ ต้องดูความพร้อมของกัมพูชาด้วย
“ การเจรจาคือ หยุดยิงถาวร เรื่องเก็บทุ่นระเบิด นำอาวุธหนักออกนอกพื้นที่ และกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อความสงบสู่ชายแดน สถานการณ์ปัจจุบันที่เจอปัญหาซับซ้อน วิธีของกัมพูชาที่กลับไปกลับมา การต่างประเทศต้องเริ่มในบ้าน เอกภาพการทำงานร่วมกัน
ดังนั้น กระทรวงต่างประเทศที่ผมดูแล เน้นการทำงานที่เป็นเอกภาพกับฝ่ายทหาร ขณะนี้การทูตต้องสนับสนุนการทหาร แต่หากพื้นที่เปิดการทหารต้องสนับสนุนการทูต" (29 ก.ย.68)
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา นับเป็นอีก “ภารกิจสำคัญ” อีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลใหม่ที่นำโดย นายกฯอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย จะต้องแก้ไขด้วยกันในหลายมิติ แต่อย่าลืมว่า
ภารกิจครั้งนี้ ต้องใช้ “การต่างประเทศ” และ “การทหาร” นำหน้า “การเมือง” เพราะไม่เช่นนั้นสถานการณ์จะกลับไปสู่วังวนเดิม ไม่ว่าจะเป็นความไม่ไว้วางใจ จาก คนที่อยู่หน้างาน อย่าง “กองทัพ” ทั้งกองทัพภาคที่ 1และกองทัพภาคที่ 2 เองที่ต้องการตัดสินใจที่คล่องตัวและมีอำนาจเต็ม
ขณะเดียวกัน ในส่วนของกองทัพเอง ที่แม้วันนี้ 1 ต.ค.68 จะเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน แต่ย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนม้ากลางศึก จนทำให้งานสะดุด แม้ในส่วนของกองทัพ รอบนี้มี “บิ๊กทหาร” ต้องเกษียณด้วยกันหลายราย

ทั้งในส่วนของ “กองทัพภาคที่ 2” มีการเปลี่ยนแปลง โดย “บิ๊กเติ่ง” พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่2 คนใหม่ เข้ามารับไม้ต่อ จาก “บิ๊กกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่เกษียณอายุรอบนี้ ยืนยันว่า ขณะนี้กำลังพลมีความพร้อม และย้ำว่าตนไม่มีมอสโต้ หรือคติพจน์ในการทำงาน และมั่นใจว่าการทำงานไม่มีรอยต่อ ที่ผ่านมาก็ทำงานร่วมกันมาโดยตลอด
ขณะที่ “พล.อ.อ.เสกสรร คันธา” ผู้บัญชาการทหารอากาศ เดินทางตรวจเยี่ยม กองบิน 3 วัฒนานคร สระแก้ว วันนี้ 1 ต.ค. ซึ่ง ถือเป็นหน่วยแนวหน้า ของกองทัพอากาศ
“ การใช้กำลังครั้งต่อไป จะไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา เราจะถูกโจมตีด้วยโดรนขนาดเล็ก และจะถูกอาวุธระยะไกลยิงเข้าใส่ ถ้าผมเป็นฝ่ายตรงข้าม ใครทำผมเจ็บที่สุด ผมก็จะทำคนนั้นก่อน นั่นก็คือพวกเรา เพราะฉะนั้นที่ผมมาวันนี้ ก็เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ผมพูดทั้งหมดนั้น จะไม่เกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้น พวกเราต้องพร้อม”

ในส่วนของกองทัพ ถือเป็นฝ่ายความมั่นคงมีการปฏิบัติหน้าที่ในทิศทางเดียวกัน เช่นเดียวกับ งานด้านการต่างประเทศตามที่รมว.ต่างประเทศ คนใหม่ ชี้แจงต่อรัฐสภาว่าในยุคของตนเองนั้น การทูตจะต้องเป็นเอกภาพกับการทหาร “ ขณะนี้การทูตต้องสนับสนุนการทหาร แต่หากพื้นที่เปิดการทหารต้องสนับสนุนการทูต”
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา คือหนึ่งพันธะสัญญา ที่รัฐบาลอนุทิน ให้คำมั่นว่าจะต้องเอาที่ดิน ที่ชาวกัมพูชาบุกรุก ล้ำเข้ามาตั้งบ้านเรือน กลับคืนมาให้ได้แล้ว แต่ขณะเดียวกัน แนวทางในการคลี่คลายปัญหา กับเพื่อนบ้านที่ทำตัวเป็น “เหยื่อ” เป็นผู้ถูกกระทำ พร้อมที่จะฟ้องนานาประเทศ บิดเบือนข้อเท็จจริง ตลอดเวลานั้น จำเป็นต้องยึดหลักทั้งการทูตกับการทหาร และแน่นอนว่าย่อมไม่มีที่ให้ “การเมือง” เข้ามาวุ่นวาย ได้อีกต่อไป !