สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน จัดโครงการ “ลำพูน เมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและอัตลักษณ์วิถี สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดยมีกิจกรรมที่ 1 การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรมชาติพันธุ์เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก โดยมีชุมชน ผู้ประกอบการท้องถิ่น และผู้นำด้านวัฒนธรรมกว่า 50 คนเข้าร่วม เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถแข่งขันและเข้าสู่ตลาดสมัยใหม่ได้อย่างยั่งยืน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21–22 กันยายน 2568 ณ ห้องประชุมบัวแก้ว เดอะ แกรนด์จามจุรี รีสอร์ท อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.วรัญญู ศรีเชียงราย รองคณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ผลิตภัณฑ์ชุมชนเชื่อมโยงสู่ตลาดใหม่ และการใช้นวัตกรรมใหม่ยกระดับสินค้าชุมชนให้ร่วมสมัย เพิ่มช่องทางการตลาด (ออนไลน์/ออฟไลน์) และกลยุทธ์การขายสินค้าชุมชน” โดยเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิต เช่น การติด QR Code และระบบติดตามย้อนกลับ ไปจนถึงการสร้างแบรนด์ที่สะท้อนเอกลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้า

ทั้งนี้บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคักและการมีส่วนร่วม ผู้เข้าร่วมอบรมได้ลงมือทดลองออกแบบบรรจุภัณฑ์ คิดคอนเทนต์การตลาดออนไลน์ และฝึกเล่าเรื่องราวสินค้า (storytelling) เพื่อดึงดูดใจผู้บริโภค หลายคนสะท้อนว่า การอบรมครั้งนี้ทำให้มองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน และมั่นใจว่าสามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการขยายตลาดเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับครอบครัวและชุมชน

ด้าน ดร.วรัญญู ศรีเชียงราย รองคณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญว่า หัวใจของการพัฒนาสินค้าชุมชนคือการสร้างความสมดุลระหว่างการรักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่นและการตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่ เมื่อสินค้าชุมชนสามารถสื่อสารเรื่องราว วัฒนธรรม และคุณค่าที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน ประกอบกับการใช้เครื่องมือทางการตลาดและนวัตกรรมที่เหมาะสม จะทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีศักยภาพเข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน
“การอบรมครั้งนี้เห็นได้ชัดเจนว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนไม่เพียงช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกับนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของรัฐบาล ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ขณะเดียวกันยังตอบสนองต่อกระแสโลกที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับสินค้าที่สะท้อนอัตลักษณ์วัฒนธรรม มีความยั่งยืน (Sustainability) และยังช่วยสนับสนุนการผลิตจากชุมชนได้อีกด้วย” รองคณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ตัวแทนชุมชนผู้เข้าร่วมอบรมได้สะท้อนประสบการณ์ว่า การเล่าเรื่องสินค้า เช่น เรื่องภูมิปัญญาบรรพบุรุษหรือวัตถุดิบท้องถิ่น ช่วยสร้างคุณค่าและความน่าสนใจให้แก่ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งการได้ฝึกถ่ายภาพสินค้าและเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้มองเห็นว่าการทำตลาดดิจิทัลไม่ยากเกินไป และสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในการเพิ่มฐานลูกค้านอกพื้นที่ได้