ความพยายามในการยื่นอภัยโทษซ้ำครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่จะยากในแง่ของหลักกฎหมายและระเบียบเท่านั้น แต่ยังอาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อผู้เกี่ยวข้องในบริบทของการเมืองที่กำลังเปลี่ยนผ่าน
ท่ามกลาง "รัฐบาลใหม่" ที่นำโดย "พรรคภูมิใจไทย" ศัตรูทางการเมือง "หมายเลข 1" ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งยังไม่มีท่าทีรับไม้เรื่องนี้ ฉะนั้นความเคลื่อนไหวของทักษิณ ครั้งนี้ดูจะมีโอกาสริบหรี่ และยังอาจจะกลายเป็นชนวนให้เกิดแรงเสียดทานในวงการยุติธรรมและทางการเมืองระลอกใหม่ !

มีรายงานว่า หลังจากศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 กันยายน ให้จำคุกทักษิณ 1 ปี ถัดมาในวันที่ 10 กันยายน มีการยื่นคำร้องขอพระราชทานอภัยโทษต่อกระทรวงยุติธรรม
"วิญญัติ ชาติมนตรี" ทนายความส่วนตัวอดีตนายกฯทักษิณ ยอมรับว่า มีการยื่นคำร้องจริง โดยระบุว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องขังเด็ดขาดทุกคน และยืนยันว่าเรื่องนี้อยู่ในพระราชอำนาจ ซึ่งไม่อาจก้าวล่วงได้

" เราก็ดำเนินการหลายวัน และครั้งนี้ก็ดำเนินการนานกว่าครั้งที่แล้ว ทุกอย่างเป็นพระราชอำนาจเป็นพระเมตตาของพระองค์ท่าน ไม่อาจก้าวล่วงได้"
อย่างไรก็ตาม การยื่นคำร้องครั้งนี้อาจเป็นการขอซ้ำ เพราะก่อนหน้านี้ นายทักษิณเคยยื่นคำร้องมาแล้วเมื่อตอนกลับมารับโทษในปี 2566
ประเด็นนี้จึงเริ่มถูกตั้งคำถามในเชิงกฎหมายว่า การกระทำดังกล่าวสามารถทำได้หรือไม่ และจะส่งผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องอย่างไร แม้รายงานระบุว่าเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นก่อนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
"เชาว์ มีขวด" อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เตือนว่า หากมีผู้ใด “ชงเรื่อง” ให้เกิดการยื่นอภัยโทษซ้ำ อาจเข้าข่ายความผิดกฎหมายอาญา ตาม มาตรา 157 ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

เชาว์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ทักษิณ เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณแล้ว แต่กลับไม่ยอมรับโทษอย่างตรงไปตรงมา และอ้างเหตุป่วย จนศาลต้องสั่งให้กลับไปรับโทษตามกระบวนการ
ความพยายามในการยื่นอภัยโทษซ้ำครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่จะมีความยากในแง่ของหลักกฎหมายและระเบียบเท่านั้น แต่ยังอาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อผู้เกี่ยวข้องในบริบทของการเมืองที่กำลังเปลี่ยนผ่าน
อย่าลืมว่า "รัฐบาลใหม่" นำโดย "พรรคภูมิใจไทย" คือศัตรูทางการเมือง "หมายเลข 1" ของพรรคเพื่อไทย ยังไม่มีท่าทีรับไม้เรื่องนี้ ฉะนั้นความเคลื่อนไหวของทักษิณ ครั้งนี้ดูจะมีโอกาสริบหรี่ และยังอาจจะกลายเป็นชนวนให้เกิดแรงเสียดทานในวงการยุติธรรมและทางการเมืองระลอกใหม่ !