วันนี้ 29 กันยายน 68 มีคำพิพากษาจาก ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาสั่งให้ กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ร่วมกันชำระค่าจ้างในการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ให้แก่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลักของกรุงเทพมหานคร ได้กลายเป็นชนวนของ "มหากาพย์หนี้สาธารณะ" ครั้งใหญ่ โดยมีมูลค่าสะสมรวมกันหลายหมื่นล้านบาท นับตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน ข้อพิพาทนี้เป็นผลจากความซับซ้อนของการขยายเส้นทางและการบริหารจัดการสัญญาจ้างระหว่าง กรุงเทพมหานคร (กทม.) บริษัทลูกคือ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT), และผู้ให้บริการเดินรถอย่าง บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTSC)
จุดเริ่มต้น: "ต่อขยาย" เพื่อประชาชน แต่ทิ้งหนี้ไว้เบื้องหลัง
มูลเหตุของปัญหาหนี้สินไม่ได้เกิดจากเส้นทางหลักของรถไฟฟ้า BTS แต่มาจาก "ส่วนต่อขยาย" ทั้ง 2 ช่วง ได้แก่ ส่วนต่อขยายที่ 1 (ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง, สะพานตากสิน-บางหว้า) และส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-คูคต)
การรับโอนภารกิจ: ในช่วงแรก รัฐบาลมีนโยบายให้ กทม. รับมอบและรับผิดชอบการเดินรถส่วนต่อขยายที่สร้างโดยหน่วยงานอื่น (เช่น รฟม.) เพื่อให้เกิดการเดินรถต่อเนื่อง และประชาชนสามารถใช้บริการได้แบบไร้รอยต่อ
กลไกสัญญาจ้าง: กทม. จึงมอบหมายให้ บริษัท กรุงเทพธนาคม (KT) ซึ่งเป็นวิสาหกิจของ กทม. เป็นผู้ดำเนินการ และ KT ได้ทำสัญญาจ้าง BTSC ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้เดินรถเดิม ให้เข้ามาติดตั้งระบบงานและให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงในเส้นทางส่วนต่อขยายทั้งหมด
หนี้เริ่มก่อตัว (2559 เป็นต้นไป): การเปิดเดินรถส่วนต่อขยายเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2560 แต่ กทม. ไม่สามารถจัดหาเงินมาชำระค่าจ้างตามสัญญาได้ทันเวลา ทำให้หนี้เริ่มสะสม แบ่งเป็น 2 ก้อนหลัก:
หนี้ค่าติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M): ประมาณ 23,488 ล้านบาท (ชำระแล้วในปี 2567 โดย กทม. อนุมัติงบเพิ่มเติม)
หนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M): สะสมมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2560 จนมีมูลค่ารวมดอกเบี้ยพุ่งสูงกว่า 30,000 ล้านบาท ในปัจจุบัน
สงครามกฎหมาย: ศาลปกครองคือผู้ชี้ขาด
เมื่อ กทม. ไม่สามารถชำระหนี้ O&M ได้ตามสัญญา BTSC จึงต้องยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครอง โดยมีการฟ้องร้องต่อเนื่องหลายคดีตามช่วงเวลาที่ค้างชำระ โดยมีประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาต่อสู้ในศาลคือ ประเด็นความชอบด้วยกฎหมายของสัญญาจ้าง: ฝ่าย กทม. และนักวิชาการบางส่วนเคยมีข้อกังวลว่า การทำสัญญาจ้าง BTSC โดยตรงอาจเข้าข่ายเป็นการ "ร่วมลงทุน" ตาม พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ) ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการประมูล สัญญาอาจเป็นโมฆะ
คำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด
ในที่สุดศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีหนี้ก้อนแรก ยืนยันว่าสัญญาจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) นั้น "ไม่เข้าข่าย" พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ และพิพากษาให้ กทม. และ KT ต้องร่วมกันชำระหนี้" ให้แก่ BTSC ตามสัญญา เนื่องจาก KT ดำเนินการในฐานะหน่วยงานที่รับมอบภารกิจสาธารณะจาก กทม. แม้ว่าศาลปกครองจะพิพากษาให้ กทม. ต้องจ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถแล้วอย่างต่อเนื่อง แต่ภาระหนี้ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในการบริหารจัดการงบประมาณ

ล่าสุดวันนี้มีความชัดเจน จาก กทม. โดยในวันเดียวกันนี้ ภายหลังมีคำพิพากษาจากศาลปกครองสูงสุด "นายวิศณุ ทรัพย์สมพล" รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กทม. น้อมรับคำพิพากษาดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างขอความเห็นชอบและขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 โดยใช้เงินสะสมจ่ายขาด จากปลัดกรุงเทพมหานคร เพื่อชำระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ส่วนที่ยังค้างชำระ จำนวนรวม 32,625,106,200 บาท ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยถึงเดือนพ.ย.68
จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการขอจัดสรรงบประมาณ โดยต้องเสนอเข้าที่ประชุมคณะผู้บริหารก่อนไปจัดทำข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และส่งสภากทม. ขอบรรจุเข้าวาระการประชุมสภากทม. คาดว่าจะมีประชุม วันที่ 15 ต.ค.68
และเมื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภากทม.แล้ว สภากทม.จะพิจารณารับหลักการในวาระ 1 ก่อนตั้งคณะกรรมการวิสามัญฯ พิจารณาร่างข้อบัญญัติ จากนั้นสภา กทม.พิจารณาให้ความเห็นชอบในวาระ 2 และวาระ 3 ก่อนเสนอผู้ว่าฯกทม.ลงนามในข้อบัญญัติและประกาศในราชกิจจานุเบกษา จากนั้นจึงจะขออนุมัติเบิกจ่ายและผู้ว่าฯ กทม.อนุมัติเบิกจ่าย คาดว่าจะสามารถชำระค่าจ้างเดินรถให้ บริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ในวันที่ 18 พ.ย.นี้