การศึกษา
50

AI ในมิติของอาจารย์มหาวิทยาลัย

แชร์ข่าว

บทความพิเศษ

รศ. ดร.ชลวิทย์ เจียรจิตต์ อธิการบดีมหาวิทยาลยศรีนครินทรวิโรฒ

ผศ. ดร.พิทักษ์ จันทร์เจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

และ ผศ. ดร.คณกร สว่างเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

เกือบ 3 ปีที่ผ่านมาหลังบริษัท OpenAI เปิดตัว ChatGPT ซึ่งเป็น Generative AI แรก เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ก็ก้าวรุกเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิตประจำวันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล การสื่อสาร การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไปในโลกดิจิทัล สำหรับสังคมไทย ภาคการศึกษาก็หนีไม่พ้นกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะอาจารย์มหาวิทยาลัยในฐานะผู้ถ่ายทอดความรู้และผู้สร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ เพราะข้อมูลและความรู้แบบสำเร็จรูปผลิตได้จากระบบ AI เพียงคลิกเดียว บทบาทของอาจารย์ถูกตั้งคำถามว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และจะต้องปรับตัวอย่างไรจึงจะยังคงความสำคัญในโลกแห่งการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน

อดีต อาจารย์ถูกมองว่าเป็นผู้ครอบครองความรู้ ผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้จากตำราสู่ห้องเรียน แต่ในยุค AI ความรู้ไม่ได้ผูกขาดอยู่ที่ผู้สอน นักศึกษาสามารถถามคำถามกับ ChatGPT หรือระบบอัจฉริยะอื่น ๆ และได้รับคำตอบภายในเวลาไม่กี่วินาที ดังนั้น อาจารย์ต้องปรับบทบาทจากผู้บรรยายมาเป็นผู้อำนวยความรู้ ทำหน้าที่กระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งคำถาม ฝึกคิดเชิงวิพากษ์ และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้มา เพราะแม้ AI จะมีความสามารถสูง แต่ก็ไม่อาจแทนที่การตีความเชิงลึกและการเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมวัฒนธรรม

ความท้าทายอีกประการที่อาจารย์เผชิญคือ การปรับหลักสูตรและวิธีการสอนให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ การใช้ AI สามารถช่วยสร้างโจทย์ที่ปรับตามระดับผู้เรียน ตรวจงานนักศึกษาเบื้องต้น หรือสร้างแบบจำลองการเรียนรู้เฉพาะบุคคล แต่ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความเข้าใจและการเรียนรู้เครื่องมือใหม่ ๆ ของอาจารย์ด้วย แรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้อาจารย์จำนวนมากรู้สึกว่าต้องเร่งพัฒนาทักษะเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างทางดิจิทัลระหว่างตนเองกับนักศึกษา

การพัฒนาทักษะใหม่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในยุคที่ข้อมูลหลั่งไหลท่วมท้น อาจารย์ต้องมีทักษะการรู้เท่าทันดิจิทัล ไม่เพียงแต่รู้จักใช้ AI แต่ต้องรู้จักตั้งคำถามต่อคำตอบที่ได้มา รู้จักตรวจสอบแหล่งที่มา และรู้จักแยกแยะว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ตรงกับข้อเท็จจริง นอกจากนี้ อาจารย์ยังต้องมีทักษะการออกแบบการเรียนรู้ที่ผสมผสาน AI อย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้นักศึกษาใช้ AI เป็นเครื่องมือ และที่สำคัญใช้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ที่กระตุ้นการคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหา เช่นเดียวกนทักษะการวิจัยก็ต้องได้รับการปรับให้สอดคล้องกับยุค AI เพราะแม้ AI จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก ๆ ได้ แต่การตีความผลลัพธ์ยังต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกและกรอบแนวคิดทางวิชาการของมนุษย์เท่านั้น

ในด้านของการยอมรับ AI พบว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยมีความตื่นตัวสูง หลายคนมองว่า AI ช่วยแบ่งเบาภาระงานเอกสาร ทำให้มีเวลาไปพัฒนางานวิจัยและสอนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การใช้ระบบ AI ตรวจข้อสอบอัตโนมัติ การสร้างบทเรียนเสริมที่เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน หรือการวิเคราะห์แนวโน้มการเรียนของนักศึกษาเพื่อปรับปรุงการสอนให้ตรงจุดยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ระดับการยอมรับนี้ยังไม่เท่าเทียมกัน อาจารย์รุ่นใหม่สายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมักเปิดรับ AI ได้รวดเร็วกว่า ขณะที่อาจารย์สายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์บางส่วนยังคงกังวล เพราะกลัวว่าความซับซ้อนเชิงคุณภาพของงานวิชาการจะถูกลดทอนหากพึ่งพา AI มากเกินไป

ความกังวลสำคัญที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการใช้ AI มีหลายประเด็น ประการแรกคือ ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เนื่องจาก AI อาจสร้างข้อมูลที่ผิดพลาดหรือแต่งเติมสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง หากนักศึกษานำไปใช้อย่างไม่ระมัดระวังก็อาจก่อให้เกิดปัญหาได้ ประการที่สองคือ การละเมิดลิขสิทธิ์และการลอกเลียนผลงาน เมื่อ AI สามารถสร้างเรียงความหรือรายงานที่ดูเหมือนสมบูรณ์ได้ในเวลาอันสั้น นักศึกษาอาจหันมาใช้ AI แทนการคิดด้วยตนเอง ซึ่งทำให้การประเมินผลการเรียนรู้ขาดความหมาย ประการที่สามคือ ความเสมอภาคในการเข้าถึง เนื่องจากไม่ใช่นักศึกษาทุกคนที่มีอุปกรณ์หรืออินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง การนำ AI มาใช้จึงอาจสร้างช่องว่างทางการศึกษา และสุดท้ายคือผลกระทบต่ออัตลักษณ์วิชาชีพครู เมื่อเครื่องมืออัจฉริยะสามารถสร้างสื่อการสอนหรือแม้แต่ตอบคำถามแทนอาจารย์ได้ บางคนก็อดกังวลไม่ได้ว่าความเป็นครูจะถูกลดทอนลงไป

ท่ามกลางความท้าทายมากมาย อาจารย์มหาวิทยาลัยต่างก็มีความคาดหวังต่อสถาบันของตนเอง มหาวิทยาลัยไม่ควรปล่อยให้อาจารย์แต่ละคนต้องเรียนรู้และปรับตัวตามลำพัง แต่ควรทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและกำกับทิศทางอย่างจริงจัง อาจารย์จำนวนมากเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยจัดอบรมและเวิร์กช็อปอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในการใช้ AI รวมทั้งควรมีศูนย์กลางทรัพยากร AI ที่เปิดให้อาจารย์เข้าถึงเครื่องมือและคำแนะนำได้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยยังต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ AI ทั้งในการเรียนการสอนและงานวิจัย เพื่อป้องกันการใช้ที่ผิดวัตถุประสงค์ และที่สำคัญคือการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุม ซอฟต์แวร์ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ และแพลตฟอร์มกลางที่ปลอดภัย

เมื่อพิจารณาผลลัพธ์จากการใช้ AI ในการยกระดับการเรียนการสอน จะพบว่ามีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ข้อดีที่ชัดเจนที่สุดคือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอาจารย์ งานเอกสาร งานตรวจสอบเบื้องต้น หรือการจัดทำสื่อการสอนที่เคยใช้เวลามาก สามารถทำได้รวดเร็วขึ้นด้วย AI ทำให้อาจารย์มีเวลามากขึ้นในการทำวิจัยและพัฒนาตนเอง อีกทั้ง AI ยังช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของนักศึกษา โดยสร้างรูปแบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ดีกว่าเดิม นักศึกษาที่เรียนช้าอาจได้รับบทเรียนเสริมเฉพาะบุคคล ขณะที่นักศึกษาที่เรียนเร็วก็ได้รับความท้าทายที่เหมาะสม

นอกจากนี้ AI ยังช่วยขยายขอบเขตการเรียนรู้ไปไกลกว่าห้องเรียน นักศึกษาและอาจารย์สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและเครื่องมือจากทั่วโลก ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่กว้างขวางขึ้น การนำ AI มาใช้ยังเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมทางการศึกษา เช่น หลักสูตรใหม่ ๆ เกี่ยวกับความรู้เท่าทัน AI จริยธรรมในการใช้ AI หรือการประยุกต์ AI ในงานวิจัย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการศึกษากำลังก้าวเข้าสู่โครงสร้างใหม่ที่ต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง

กล่าวโดยสรุป AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเสริมการทำงานของอาจารย์มหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบอุดมศึกษา อาจารย์ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว พัฒนาทักษะใหม่ และมองเห็น AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมพลังมากกว่าที่จะแทนที่ ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยเองก็ต้องสร้างระบบสนับสนุนและนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้การใช้ AI เกิดประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบด้านลบให้น้อยที่สุด การยอมรับและใช้ AI อย่างมีสติ ตระหนักถึงทั้งโอกาสและความเสี่ยง จะทำให้การศึกษาไทยก้าวทันโลกและยังคงรักษาคุณค่าแห่งความเป็นครูไว้ได้ในยุคสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ข่าวแนะนำ

แชร์ข่าว