ช็อตเด็ดพลิกเกม! "อาร์เซน่อล" บุกคว่ำ "นิวคาสเซิล" สุดมันส์ 2-1 ประตู "นาทีบาป" ยืนยัน DNA แชมป์ที่ทุกคนรอคอย เบื้องหลังการกลับมาสุดยิ่งใหญ่ด้วยประตูในช่วงทดเจ็บ จากฮีโร่ "เมริโน–กาเบรียล" นี่คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของ "มิเกล อาร์เตต้า" พร้อมการยืนยัน "จิตใจแห่งแชมป์" ที่เดอะกันเนอร์สรอคอย การกลับมาของ "ปืนใหญ่" ในเส้นทางลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก
ภาพที่นักเตะอาร์เซน่อลกอดกันแน่นราวกับว่าพวกเขาเพิ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้นที่สนามเซนต์เจมส์พาร์ค เป็นการสะท้อนความหมายอันลึกซึ้งของชัยชนะครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงชัยชนะในเดือนกันยายน แต่หลายฝ่ายเชื่อว่านี่คือ "ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" ในยุคของกุนซือ มิเกล อาร์เตต้า เลยก็ว่าได้
ตลอด 83 นาทีแรกของเกม ดูเหมือนว่า "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อลจะหมดแรงและขาดพลังในการปิดเกมอย่างที่เคยเป็น เสียงวิจารณ์ ที่ว่าพวกเขามักจะ "ขาดความดุดันและแรงฮึดในเกมสำคัญ" เริ่มจะกลับมากระหึ่มอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากที่พลาดโอกาสทองไปหลายหน และยังต้องเจอกับการตัดสินที่ค้านสายตาหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ทั้งหมดก็ถูก พลิกผัน ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อ มิเกล เมริโน ขึ้นโหม่งประตูตีเสมอได้อย่างสุดสำคัญ ก่อนที่ กาเบรียล มากัลเญส จะสวมบท ซูเปอร์ฮีโร่ ซัดประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้ "อาร์เซน่อล" พลิกแซงชนะ "นิวคาสเซิล" 2-1 ได้อย่างระทึกขวัญ และเป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นใน "นาทีบาป" ที่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ทุกสัปดาห์ในพรีเมียร์ลีก
ชัยชนะที่เซนต์เจมส์พาร์คครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่สามแต้มธรรมดา แต่มันคือ "การยืนยันจิตใจแห่งแชมป์" ที่แฟนบอล "เดอะกันเนอร์ส" เฝ้ารอมานานแสนนาน เมื่อ ลิเวอร์พูล พลาดท่าสะดุดไปเมื่อวันเสาร์ "อาร์เซน่อล" กลับ คว้าโอกาส นั้นไว้ได้อย่างอยู่หมัด และด้วยสามแต้มอันล้ำค่านี้ ทำให้พวกเขาขยับขึ้นมาเป็น อันดับสอง ของตาราง ตามหลังจ่าฝูง ลิเวอร์พูล เพียงแค่สองแต้มเท่านั้น
สำหรับแฟนบอล "เดอะกันเนอร์ส" ชัยชนะลักษณะนี้คือภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นในอดีต นั่นคือทีมที่สู้จนวินาทีสุดท้าย และไม่ปล่อยให้ "แรงกดดัน" เข้ามากลืนกินจนเกมพังเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในฤดูกาลก่อนๆ นี่คือเครื่องพิสูจน์ถึง "ความนิ่งและความเชื่อมั่น" ที่ มิเกล อาร์เตต้า ปลูกฝังมาตลอด
หนึ่งใน จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในเกมนี้คือ "ตัวสำรอง" ที่ถูกส่งลงมาโดย อาร์เตต้า โดยเฉพาะการลงมาของ มิเกล เมริโน และ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่กลายเป็น ตัวพลิกเกม อย่างแท้จริง โดยเป็น โอเดการ์ด ที่รับหน้าที่แอสซิสต์จากลูกเตะมุมให้ กาเบรียล มากัลเญส โขกประตูชัยในนาทีที่ 96 ซึ่งเป็นประตูตัดสินเกมที่สำคัญอย่างยิ่งยวด
สถิติที่น่าสนใจคือ "อาร์เซน่อล" ยิงประตูจาก ลูกเตะมุม ได้ถึง 36 ลูกในพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ฤดูกาล 2023/24 เป็นต้นมา ซึ่งมากกว่าทีมอื่นถึง 15 ประตู สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า "พลังลูกนิ่ง" ได้กลายเป็นอาวุธเด็ดที่ถูกซ่อนไว้และถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในยุคของ อาร์เตต้า
เมริโน ซึ่งทำหน้าที่เป็นฮีโร่ประตูตีเสมอ ก็กลายเป็น ดาวซัลโวสูงสุด ของทีมในปี 2025 ด้วยจำนวน 9 ประตู และการกลับมาของ โอเดการ์ด ในฐานะ เพลย์เมกเกอร์ตัวสำรอง ยิ่งเติมเต็มความยืดหยุ่นและมิติในการเข้าทำให้กับทีม ขณะเดียวกันการแสดงศักยภาพของ เอเบเรชี เอเซ และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี ก็ตอกย้ำว่าทีมชุดนี้มี ม้านั่งสำรอง ที่แข็งแกร่งและลึกกว่าเดิมมาก
ครึ่งแรกของเกมนี้ยังเป็น หลักฐาน ที่ชัดเจนว่า "คำกล่าวเรื่องเบรกมือ" หรือการเล่นแบบระมัดระวังตัวของ "อาร์เซน่อล" นั้น เกินจริง ไปมาก "เดอะกันเนอร์ส" เล่นด้วยความรวดเร็วและจังหวะต่อบอลที่เฉียบคม โดยเฉพาะการทำเกมของ เอเซ่ ที่พาบอลทะลุแนวรับได้อย่างยอดเยี่ยมและสร้างสรรค์โอกาสได้อย่างต่อเนื่อง
แม้ในครึ่งหลัง นิวคาสเซิลจะตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ระบบ 5-4-1 เพื่อ อุดเกมรับ และรักษาสกอร์ที่นำอยู่ แต่การถอยลึกเกินไปของทีม "สาลิกาดง" กลับเป็นการ เปิดโอกาส ให้ทีมเยือน "อาร์เซน่อล" บุกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ต้องมาพ่ายแพ้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บที่หัวใจสลาย
การตัดสินใจของ เอ็ดดี ฮาว ผู้จัดการทีมนิวคาสเซิล ที่คิดว่าการเพิ่มแนวรับคือทางรอด อาจจะดูสมเหตุสมผลในช่วงเวลานั้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับ ตรงกันข้าม โดยสิ้นเชิง เพราะลูกเตะมุมสองครั้งสุดท้าย ได้เปลี่ยน เส้นทาง ของทั้งเกม และอาจจะเปลี่ยนเส้นทางของ ทั้งฤดูกาล ของ "อาร์เซน่อล" ให้กลับมาอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์อีกครั้ง
มิเกล อาร์เตต้า กล่าวหลังเกมอย่างมั่นใจว่า “นี่คือ การประกาศครั้งสำคัญ ของทีมเรา เราสามารถผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้ด้วย ความเชื่อมั่นและความนิ่ง นั่นคือหนทางสู่ระดับต่อไปที่เราต้องก้าวขึ้นไปให้ได้” เป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของชัยชนะในแง่ของ จิตวิทยา และทัศนคติของทีม
ชัยชนะครั้งนี้ยังทำให้ "อาร์เซน่อล" กลายเป็นหนึ่งในทีมที่สามารถ "คัมแบ็ก" จากการตามหลังและคว้าชัยในพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง หลังจากที่ทำได้ครั้งสุดท้ายต้องย้อนกลับไปถึงปี 2013 สมัยที่ อาร์เตต้า ยังคงสวมบทบาทเป็น นักเตะ อยู่ในสนาม ซึ่งนับเป็นสถิติที่น่าประทับใจที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจครั้งใหญ่ของสโมสร
"อาร์เซน่อล" ได้ผ่านโปรแกรมสุดหินในช่วงต้นฤดูกาลมาได้อย่างงดงาม ทั้งการบุกเยือน โอลด์แทรฟฟอร์ด, แอนฟิลด์ และเซนต์เจมส์พาร์ค รวมถึงการเปิดบ้านเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งการเก็บแต้มจากเกมที่ยากลำบากเหล่านี้ได้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริง
หากพวกเขายังคงสามารถรักษา ฟอร์มการเล่นและจิตใจ ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ต่อไปได้ การลุ้นแชมป์ในเดือนพฤษภาคมก็อาจจะไม่ใช่แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป และในอนาคต แฟนบอลอาจย้อนกลับมาจดจำได้ว่า "ประตูชัยของกาเบรียล" ในค่ำคืนที่นิวคาสเซิล คือ จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำพาไปสู่ฤดูกาลแห่งประวัติศาสตร์ของ "อาร์เซน่อล" ที่ทุกคนรอคอย
#อาร์เซน่อล #นิวคาสเซิล #พรีเมียร์ลีก #อาร์เตต้า #กาเบรียล #วิเคราะห์บอล #ฟุตบอลวันนี้ #จิตใจแชมป์ #พลิกเกม