ในอดีตประเทศไทยเรามีกบฎผีบุญ ที่สามารถปลุกระดมประชาชนเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐ ผ่านการปล่อยข่าวลือ คำพยากรณ์ต่างๆ ซึ่งข่าวลือนั้นสร้างความแตกตื่นให้กับประชาชน เช่นว่า "ถ้าเอาเงินเก็บไว้เมื่อเงินกลายเป็นเหล็กแล้ว กรวดแร่จะกลายเป็นทอง" ทำให้คนที่เชื่อข่าวลือนี้ ไม่ยอมเก็บเงินเอาไว้กับตัว เที่ยวซื้อของให้เงินหมดตัว บ้างก็โยนเงินทิ้งเสีย แต่พากันไปเก็บกรวดแร่เอามาบูชาแทน และ หญิงสาวที่เชื่อข่าวลือว่าถ้าไม่มีสามี จะถูกยักษ์กิน จนยอมเสียเงินให้ซื้อสามีจากหญิงอื่นก็มี รวมทั้งคำพยากรณ์ถึงเหตุร้ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น การสร้างความหวาดกลัว และความเชื่อต่างๆ ก็เพื่อให้เกิดความหวังและความศรัทธาว่า ผีบุญหรือผู้มีบุญจะมาช่วยนั่นเอง
ปัจจุบัน ไม่มีกบฎผีบุญแล้ว แต่ก็ยังมีพวกที่ต้องการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ เพื่อแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ ซึ่งในยุคที่เรากำลังก้าวสู่ 5 จี ก็ยังมีผู้คนที่ตกเป็นเครื่องมือของข่าวลือต่างๆ ในโลกออนไลน์ที่สร้างความหวาดหวั่น เพื่อเหยียบศพของประชาชนขึ้นมาสู่อำนาจ
กระนั้น ต้องพิจารณาปมเหตุให้ได้ว่า ทำไม คนพวกนี้จึงยังมีอิทธิพลอยู่ ทั้งที่รู้ว่าเป็นข่าวปลอม ทั้งที่รู้ว่าเป็นข่าวลือ แต่ประชาชนบางส่วนก็เลือกที่จะเชื่อข่าวนั้นมากกว่า และทั้งที่มีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และไล่จับกันไม่เว้นแต่ละวัน แต่บรรดาข่าวเหล่านั้นก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด หรือที่เรียกว่า พวกอวตาร ในโลกโซเชียล ที่พร้อมจะแชร์ข่าวที่เป็นลบต่อรัฐบาล และดิสเครดิตเจ้าหน้าที่รัฐ
ในรายของศิลปินจากภูเก็ตที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเพราะโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า ไม่มีการตรวจคัดกรองผู้โดยสารที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ภายหลังลบโพสต์ไปเพราะเป็นภาพเก่า และถูกดำเนินคดีตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่กลับมีความเห็นจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยออกมาว่า การควบคุมตัวและดำเนินคดีผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของภาครัฐอย่างสงบ เป็นสัญญาณให้เห็นถึงการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนก่อนการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กฎหมายที่มีเนื้อหาคลุมเครือและกว้างขวางเช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มักถูกใช้เป็นเครื่องมือฟ้องปิดปากบุคคลที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาล
กรณีนี้เป็นเพียงอีกตัวอย่าง ที่ท้าทายอำนาจรัฐ และน่าสนใจว่ามีองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนเริ่มเข้ามามีบทบาท
อย่างไรก็ตาม น่าจับตาภายหลังศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19 )หรือ ศบค.มีมติแต่งตั้ง นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน เป็นโฆษก ศบค. ที่ต้องรับบทขุนพลรบในสงครามข่าวปลอม และข่าวลือต่างๆ
โดยก่อนหน้านี้ ในการแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธาน ศบค. ระบุตอนหนึ่งว่า "ผมจะปรับปรุงให้การสื่อสารเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 กับประชาชนให้มีความถูกต้องชัดเจนและครบถ้วน โดยผมได้สั่งการให้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์และมาตรการต่างๆ รวมถึง คำแนะนำต่อประชาชนเพียงวันละหนึ่งครั้งเพื่อลดความซ้ำซ้อน ลดการบิดเบือนข้อมูลและลดการสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ขอยืนยันว่าประชาชนจะได้รับข้อมูลที่เป็นทางการตรงไปตรงมา โปร่งใสและชัดเจนจากเพียงแหล่งเดียวเป็นประจำทุกวันและขอให้ถือว่าข้อมูลที่ไม่ได้มาจากการแถลงประจำวันของคณะทำงานฉุกเฉินนี้อาจจะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ นอกจากนี้ ผมขอความร่วมมือให้สื่อมวลชนเพิ่มความรับผิดชอบในการรายงานข่าว ขอให้ใช้ข้อมูลจากการแถลงประจำวันของทีมสื่อเฉพาะกิจและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลักแทนการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
ผมเชื่อว่าหากทำได้เช่นนี้สื่อมวลชนจะเป็นกำลังสำคัญในการสู้กับโรคโควิด-19 ครั้งนี้ สำหรับผู้ใช้โซเชียลมีเดียทุกท่าน พวกเราคือทีมเดียวกัน ทุกท่านสามารถร่วมแชร์ข้อมูลที่ถูกต้อง จากการแถลงประจำวัน ช่วยกันรายงานและต่อต้าน การแชร์ข่าวปลอมและใช้ความคิดสร้างสรรค์ของท่านช่วยให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยรับรู้และเข้าใจข้อมูล ได้ง่ายและกว้างขวางยิ่งขึ้น"
โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลจึงไม่ได้อยู่ที่กองหนุนในโลกออนไลน์ว่าใครมีมากกว่ากัน แต่อยู่ที่การจัดการฟื้นฟูความเชื่อมั่นศรัทธาคืนมาต่างหาก ที่จะปราบกบฏคีย์บอร์ดให้สิ้นซาก