วันที่ 3 พ.ค.2567  ในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย สำนักงานใหญ่ นายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี  กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า ในช่วงเวลากว่า  1 ปีที่ผ่านมา ที่เข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่เริ่มลงพื้นที่หาเสียงกับผู้สมัคร สส.และพรรค ได้ฟังปัญหาของพี่น้อง สส และพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด จนมาสู่ช่วงเวลาในการจัดตั้งรัฐบาล ถือเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวด มีหลายอย่างที่อาจขัดสายตา จนได้รัฐบาล 314 เสียง ถือเป็นรัฐบาลที่มีความมั่นคง มีความมุ่งมั่น และทำงานร่วมกันเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง ทำอย่างเต็มที่ที่สามารถทำได้ พร้อมมีความเชื่อมั่นว่า 10 เดือนที่ผ่านมา  เป็นที่ประจักษ์  เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล ได้ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี  ซึ่งในอดีตน้ำท่วมซ้ำซาก ท่วมสูง และท่วมเป็นระยะเวลานับเดือน จึงได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งอยู่คนละพรรค แต่ทำงานร่วมกันได้อย่างดี พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่ามีการเก็บน้ำเร็ว เพราะเรื่องภัยแล้ง ให้มีการบริหารจัดการน้ำให้ดีขึ้น  ทำให้ในปีนี้จังหวัดอุบลราชธานีน้ำไม่ท่วม ถือเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราใส่ใจในรายละเอียด

ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่เพื่อติดตามปัญหาปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานความมั่นคงพยายามจัดการปัญหา  รวมถึงรัฐบาลที่เข้ามาดูแลเรื่องความมั่งคั่งด้วยการเปิดชายแดนเพื่อให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะขึ้น  พี่น้องสามารถทำมาหากินได้  รวมทั้งการเดินทางไปจังหวัดหนองบัวลำภูที่เป็นจังหวัดที่ยากจนที่สุด นำคณะรัฐมนตรีสัญจร เข้าไปดูเรื่องการดำรงชีวิต ปัญหายาเสพติด เงินในกระเป๋าทำให้ทั่วประเทศรู้ว่ามีปัญหาจริง ๆ และให้คนที่อยู่ฐานบนของสังคม สามารถเข้าไปสัมผัสได้  เรื่องราคาสินค้า รัฐบาลจะทำให้พืชผลเกษตรราคาสูงขึ้น ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทย ราคาสินค้าเกษตรต้องเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี ทั้งพืชผลหลัก และพืชผลรอง จากการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าต่างประเทศ เพื่อเปิดตลาดใหม่ ๆ

นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ตอนนี้ค่าฝุ่นลดน้อยลง เกิดจากความร่วมมือ การพูดคุยกับหน่วยงานความมั่นคงให้ดูแลเรื่องเผาป่า ทำให้ค่าฝุ่นค่อยๆ ดีขึ้น ยืนยันเป็นเรื่องสิทธิพื้นฐานของทุกคนที่พึงจะได้รับ เช่นเดียวกับสิทธิเสรีภาพในการเลือกถือเป็นเรื่องสำคัญ เรื่อง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมฯ ที่เข้าสู่สภาเรียบร้อยแล้ว และน่าจะผ่านได้อย่างรวดเร็ว เราพยายามดำเนินนโยบายให้ครอบคลุมในทุก ๆ ภาคส่วน และต้องพยามทำงานอย่างต่อเนื่อง   ด้านการเดินทางไปต่างประเทศ ตารางการพบหารือแน่น เพื่อบอกว่าประเทศไทยเปิดแล้ว พี่น้องประชาชนต้องมีรายได้มากยิ่งขึ้น เราต้องมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับเรื่องราคายางพาราที่ปรับตัวดีขึ้น  มีการป้องกันการลักลอบขนยางเถื่อน เปิดตลาดใหม่ ๆ เราไม่ลดละความพยายามที่จะทำให้พี่น้องเกษตรกรของเราหยุดอยู่แค่นี้

นอกจากนี้  รัฐธรรมนูญใหม่เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญ และประชาชนมีความต้องการ รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ เราพร้อมที่จะผลักดันให้เป็นฉบับของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน เป็นเรื่องที่เราทำมาตลอด 10 กว่าเดือนที่ผ่านมา  ปัญหาใหญ่อีกเรื่องคือเรื่องหนี้สิน โดยมีการเจรจากับ 4 ธนาคาร เราคุยกับทางผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ลดดอกเบี้ย แม้ยึดความอิสระ แต่การเป็นอิสระ ไม่ใช่อิสระจากความเดือดร้อนของประชาชน  

“ได้พูดหารือกันด้วยความสุภาพ หากท่านทำก็ดี ถ้าไม่ทำ ก็ต้องหาวิธีอื่น ซึ่งก็มีการลดดอกเบี้ยจากธนาคารให้กับพี่น้องประชาชน รวมถึงหนี้นอกระบบ การจ่ายดอกเบี้ย 1000% เราจะอยู่กันได้อย่างไร เรามีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้สำเร็จ ภายใน 4 ปี และเมื่อมีหนี้สิน ปัญหาต่อมาคือการหันไปใช้ยาเสพติด ซึ่งมีการประสานให้ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ทำงานอย่างเข้มแข็ง ทำให้ผู้ที่เสพยาถูกดึงไปบำบัด ทุกหน่วยงานเร่งรัดเรื่องนี้ และถือเป็นวาระแห่งชาติ” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีเวลาเหลืออีกประมาณ 3 ปี หลายเรื่องเป็นที่ประจักษ์การเดินไปถึงจุดเป้าหมาย ต้องผ่านหลายอย่าง มีเวลาที่เสียใจ ไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นในมิติใดก็ตาม ตนเองเชื่อว่า หากเราทุกคนมีความมุ่งมั่น มีความสม่ำเสมอ สามัคคี เข้าใจซึ่งกันและกัน เห็นใจเขาเห็นใจเรา เชื่อว่าถนนที่เดินไปข้างหน้า จะสะดวกขึ้น ง่ายขึ้น การทำงานระหว่าง สส. ทุกท่าน ร่วมกับคณะทำงานในพรรค ร่วมกับคณะทำงานฝ่ายบริหาร ถือเป็นกลไกสำคัญ และ ขอให้โฟกัสในช่วงเวลาที่เรารักกันหรือดีต่อกัน

นายเศรษฐา เชื่อว่า หัวหน้าพรรค ผู้ใหญ่ในพรรค คณะกรรมการบริหารชุดใหม่ สส. ทุกคน เห็นความตั้งใจ เห็นความมุ่งมั่น ไม่ใช่ของตนคนเดียว ไม่ใช่ของรัฐมนตรีอย่างเดียว ไม่ใช่กรรมการบริหารอย่างเดียว เชื่อว่าท่านทุกคนเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจจริง และจุดประสงค์ที่เรามาอยู่กันในที่นี้ เรามาเพื่ออะไร ตนเองไม่ได้มาเพื่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรามาอยู่ตรงนี้เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน เป็นหน้าที่ของทุกคน เรามาอยู่ด้วยจิตใจที่เราอยู่กับพี่น้องประชาชน เราอยากให้พี่น้องประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างมีความสุข

”ผมตระหนักดีเสมอ ไม่ว่าจะเป็นแค่สมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีอะไรสำคัญเท่าเมื่อครบวาระ 4 ปีแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจะดีขึ้น“ นายกรัฐมนตรี กล่าว