วันที่ 3 พ.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก "Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์" ระบุว่า

“จตุพร”หวั่นปากพวกสอพลอ รบ.-เพื่อไทยกับชื่นชอบนายตระบัดสัตย์ ย่ำยี ปชต.ให้ย้ำรอยล้มลุก ระบุเหล่าทัพคุยกันถี่ ชี้ ผบ.ทร.ทวงสัญญา “สุทิน” ปมเรือดำน้ำส่อนัยยะ บี้ดิจิทัลกู้ 5 แสนล้านทำไม บอกหน่อยต้นสินค้าแค่ 1.75 แสนล้าน ฟาดยับชอบให้ ปชช.แบกหนี้หัวโตหรือไง กระทุ้งคนทำดีลรับผิดชอบทำบ้านเมืองเสียหายเละเทะ

เมื่อ 1 พ.ค. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์กรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ถูกปลดออกจาก รมว.สาธารณสุขว่า นพ.ชลน่าน เป็นนักการเมืองลงแรงทำงานให้พรรคเพื่อไทยมามาก เมื่อได้ตำแหน่ง รมต.กลับถูกทิ้งขว้างเหมือนไม่ใยดี การถูกปลดออก รมต. จึงเป็นบาดแผลทางใจของ ดังนั้น พรรคเพื่อไทยไม่แฟร์ในทางการเมืองกับคนที่ทำงานให้พรรคมาต่อเนื่องเลย

อย่างไรก็ตาม รมต.หลายคนที่ไม่ถูกปรับออกและมี รมต.เข้าใหม่บางคนจะอธิบายถึงข้อดีที่เหนือกว่า นพ.ชลน่าน ไม่ได้เลยในเรื่องการรับใช้พรรค บางคนอาจอธิบายด้วยความคิดสอพลอว่า จะเข้าตาผู้นำพรรคเพื่อไทยในวันข้างหน้า

อีกอย่างกรณีการลาออกจาก รมว.ต่างประเทศของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร นั้น นายจตุพร กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องต้องกล่าวหาว่า ใจปลาซิว เนื่องจากเข้ามาทำงานการเมืองตั้งแต่พรรคไทยรักไทย จนถึงเพื่อไทย แม้ไม่ได้ลงสนามเลือกตั้งแต่อยู่พื้นที่ทางวิชาการของพรรคหรือเป็นตัวแทนการค้า ซึ่งเป็นบริบทที่แตกต่างจากนักการเมืองทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีความสำคัญจะไปเป็นรองนายกฯ ควบ รมว.ต่างประเทศได้อย่างไร

ส่วน รมว.ต่างประเทศคนใหม่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ นั้น เห็นตั้งแต่เดินตามหลังทักษิณ ชินวัตร มาตลอด ดังนั้นสถานการณ์จากนี้ไปจึงเป็นดีลกลับบ้านของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาดีลมักเกิดความเสียหายด้วยคำกล่าวอ้างเสมอ ทั้งการอ้างมีไฟเขียว หรือ สว.บางคนเรียกว่า เป็นอาญาสวรรค์ ซึ่งล้วนเป็นคำกล่าวอ้างที่สร้างความเสียหายให้ประเทศ

นายจตุพร กล่าวถึงทักษิณ ไปปรากฏตัวที่ภูเก็ตและมีคนติดตามอย่างเอิกเกริกว่า ยิ่งจะเป็นปัญหาและไม่เกิดผลดี ทั้งที่ดีลกลับบ้านไม่ติดคุกสักวัน แต่บอกยอมรับในกระบวนการยุติธรรม และยอมรับทำผิดจริงในคดีทุจริต แต่สำนึกแล้ว สิ่งนี้ล้วนเป็นการกล่าวอ้างที่สร้างความเสียหายให้ประเทศ เพราะทำให้คำพิพากษาไม่มีความหมาย พระบรมราชโองการก็ไม่มีความหมาย หลักการพักโทษเหมือนนิยายหาความจริงไม่ได้ สิ่งสำคัญดีลทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหาย

"หลังจากดีลได้ตระบัดสัตย์ทำการเมืองเสียหายย่อยยับแล้ว กระบวนการยุติธรรมก็พังไม่มีชิ้นนี้ ธรรมาภิบาลและมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองสูญหายไปตั้งแต่วันตระบัดสัตย์ข้ามขั้วตั้งรัฐบาล แต่กลับย้อนแย้งอ้างยึดคำสัตย์กับประชาชนในกรณีดิจิทัลวอลเล็ต มิหนำซ้ำยังผิดคำสัตย์จะไม่กู้ก็ต้องกู้เงินมาแจกถึง 5 แสนล้านทำให้ประเทศต้องแบกหนี้มากถึง 1.5 ล้านล้านบาท”

นายจตุพร กล่าวว่า การนำเงินประชาชนไปแจกประชาชน แล้วให้ประชาชนเป็นหนี้นั้น สร้างความเสียหายให้ประเทศ ดังนั้น อย่ามากล่าวอ้างเรื่องการขยายฐานภาษี เพราะประชาชนจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มทางอ้อมอยู่แล้ว 7%

"ทุกคนอยากได้เงินหมื่น แต่สิ่งที่แจกไม่ใช่เงินหมื่น แต่เป็นสิ่งของที่ขายและซื้อในราคาหนึ่งหมื่น ทั้งที่ต้นทุนสินค้าจากเงินแจก 5 แสนล้านบาท มีเพียง 1.75 แสนล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น เมื่อประชาชนไม่ได้จับเงินหมื่นแล้ว ทำไมรัฐไม่แจกแค่ 1.75 แสนล้านบาทตามราคาต้นทุนสินค้า และทำไมต้องเอาผลต่างอีกกว่า 3 แสนล้านมาแบกหนี้เป็นทวีคูณไม่รู้กี่ชาติจะใช้หนี้หมด”

นายจตุพร ถามว่า รัฐบาลต้องการให้ประชาชนได้อะไร เพราะทั้งหมดที่แจกเงินนั้น ได้เพียงสินค้า แล้วจะมาหมุนเศรษฐกิจอะไร 5 รอบ แล้วทำให้ประเทศเป็นหนี้มากมาย ดังนั้น สิ่งที่ทำมาในดิจิทัลเพื่อประเทศและประชาชนจริงหรือไม่

อีกทั้งกล่าวว่า ผู้ทำการดีลที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหายขณะนี้ ต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ประเทศพังพินาศหมด ดังนั้น สิ่งที่ดีลทั้งที่เกาะลังกาวีหรือที่ไหนที่ได้ทำกันมา ทั้งหมดอาจต้องแลกกับการล้มลุกคลุกคลานของประชาธิปไตยอีกรอบ ซึ่งตนไม่สนับสนุนให้เกิดการยึดอำนาจ แต่มีข่าวหนาหูว่า แม่ทัพนายกองคุยกันถี่ยิบมากขึ้น สิ่งสำคัญ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร. ทวงสัญญานายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กรณีซื้อเรือดำน้ำจีน ซึ่งมีนัยยะไม่ธรรมดากับการเคลื่อนไหวของเหล่าทหาร

นอกจากนี้ นายจตุพร ประเมินสถานการณ์ยุบพรรคก้าวไกลว่า ศาล รธน.ขยายเวลาให้ก้าวไกลยื่นเอกสารอีก 15 วัน ซึ่งจะหมดเขตวันที่ 17-18 พ.ค.นี้ โดยมีข้อสังเกตุว่า ศาลอาจตัดสินคดีในวันเดียวกับทักษิณนัดฟังคำสั่งอัยการจะฟ้องอาญาคดี ม.112 หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ก้าวไกลอาจไม่มีโอกาสต่อสู้คดีด้วยการแถลงชี้แจงทางวาจา โดยคาดว่า ศาลจะนัดให้ส่งเฉพาะเอกสารอย่างเดียว แล้วนัดวินิจฉัยในวันที่ 29 พ.ค.ก็ได้ จึงเป็นสถานการณ์ที่น่าจับตา เพราะเงื่อนเวลาสอดรับกับจุดเปลี่ยนทางการเมืองในอนาคตอย่างยิ่ง

ประเทศไทยต้องมาก่อน