ด้วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกาตาร์ แอร์เวย์ส  จึงมีการวางแผนที่จะเน้นการลงทุนตามลำดับความสำคัญและความต้องการของรุ่นต่อไป โดย นายบาดร์ อัล เมียร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส  คนใหม่ได้สะท้อนแผนการดำเนินงานได้อย่างน่าสนใจ

มุ่งเน้นบูรณาการเทคโนโลยีใหม่ๆ

นายบาดร์ อัล เมียร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส  คนใหม่ กล่าวว่า จะมุ่งเน้นที่การบูรณาการเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการพัฒนาโซลูชันการบินที่ยั่งยืน และปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จะขยายขอบเขตการให้บริการทั่วโลก เพื่อยกระดับตำแหน่งกาตาร์ให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมต่อไป

โดย  ผลงานที่โดดเด่นมากว่าสองทศวรรษ ของอดีตผู้บริหาร ที่ได้ขับเคลื่อนโครงการด้านการบิน การก่อสร้าง และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายของกาตาร์ แอร์เวย์สในการส่งเสริมผู้นำรุ่นใหม่ จนทำให้ในปัจจุบันมีฝูงบิน 241 ลำ พนักงานกว่า 43,000 คน และเส้นทางบินที่ครอบคลุมกว่า 160 ปลายทางทั่วโลก  

 ซึ่งโครงการขยายสนามบินที่มีมูลค่า 1 หมื่นล้านริยาลกาตาร์หรือประมาณ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก FIFA 2022 ซึ่งส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านสนามบินมากกว่าหนึ่งล้านคนเผ็นผลงานที่สะท้อนการทำงานที่ผ่านมาเป็นอย่างดี

 ปรับตัวกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

นาย อัล เมียร์ ยังกล่าวต่อว่า กลุ่มสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์สได้ รายงานผลกำไรที่เพิ่มขึ้น 1.026 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปีงบประมาณ ซึ่งมีอัตราการเติบโตกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พร้อมจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 22% เป็น 19 ล้านคน เนื่องจากความสามารถในการบรรทุกสัมภาระที่สูงขึ้น การกลับมาให้บริการของฝูงบินแอร์บัส A350 ความร่วมมือกับพันธมิตรในเครือ oneworld และพันธมิตรเชิงกลยุทธ์อื่น ๆ ในประเทศจีน ยุโรป และออสตราเลเซีย

ทั้งนี้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2023/2024 นั้น มีอัตรากำไรขั้นต้นหลังหักค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหาร (EBITDA margin) ของกลุ่มบริษัทได้แสดงถึงการปรับตัวที่เป็นบวกอย่างชัดเจน โดยมีอัตราอยู่ที่ 26.9% ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีงบประมาณก่อนหน้า (ปี 2022/2023) พบว่ามีการเพิ่มขึ้นถึง 4.9% และมีมูลค่าทั้งสิ้น 10.779 พันล้านริยาลกาตาร์ (หรือประมาณ 2.960 พันล้านเหรียญสหรัฐ) นอกจากนี้ ผลกำไรสุทธิ EBITDA ยังแสดงให้เห็นถึงตัวเลขที่สูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่กว่า 2.641 ล้านริยาลกาตาร์ (หรือประมาณ 0.725 ล้านเหรียญสหรัฐ)

ขณะที่ในช่วงต้นเดือนมีนาคม กาตาร์ แอร์เวย์สได้ประกาศเพิ่มเส้นทางบินใหม่ ซึ่งประกอบด้วยเมืองต่างๆ ได้แก่ ชิตตากอง, จูบา, กินชาซา, ลียง, เมดาน, ตูลูส และตราบซอน ที่ได้เริ่มให้บริการแล้วจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ สายการบินยังได้ประกาศการกลับมาให้บริการสู่ 11 จุดหมายปลายทาง ได้แก่ ปักกิ่ง, เบอร์มิงแฮม, บัวโนสไอเรส, คาซาบลังกา, ดาเวา, มาร์ราเกช, นีซ, โอซาก้า, พนมเปญ, ราส อัล-คอยมาห์ และโตเกียว ฮาเนดะ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเปิดเส้นทางใหม่อีก 10 แห่งในปี 2567 เพื่อขยายเครือข่ายการบินและเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อสำหรับผู้โดยสาร

เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

สำหรับผลประกอบการทางการเงินของกลุ่มสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์สในครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2023/2024 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน โดยการขยายเครือข่ายการบินไม่เพียงแต่จะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศกาตาร์ในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประโยชน์ที่จะกระจายไปยังพันธมิตรระดับโลกและประเทศปลายทางจำนวนมาก ในขณะเดียวกัน ความพร้อมของการกลับมาให้บริการของเครื่องบิน A350 ใกล้สมบูรณ์แบบและจะทำให้ความสามารถในการให้บริการที่นั่งว่างเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตและการขยายตัวของสายการบินอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งยังมีความท้าทายหลายเหตุการณ์ที่กลุ่มบริษัทต้องเผชิญในช่วงที่เหลือของปี รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการในการเดินทางของผู้โดยสารและข้อจำกัดในการดำเนินงานของสายการบิน นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายของน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่สายการบินต้องจัดการ พร้อมกับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเกิดจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม สายการบินได้นำมาตรการด้านการดำเนินงานหลากหลายมาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการส่งมอบบริการอย่างทันเวลาและมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากช่วงปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการทำงานเป็นทีมอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้นำและฝ่ายบริหารของกลุ่มบริษัท และด้วยฐานการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง กาตาร์ แอร์เวย์สมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าแม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายและปัจจัยที่อาจทำให้ตลาดชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2023-2024