นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวถึงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรม มีรายได้รวมกว่า 4,666 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  และมีกำไรสุทธิ 1,136 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่งแม้อยู่ในช่วงโลว์ซีซั่น และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสามารถผลักดันศักยภาพของทรัพย์สิน Ramp Up สู่ระดับดำเนินงานปกติ มูลค่ากว่า 12,500 ล้านบาท สร้างผลตอบแทนกระแสเงินสดสูงถึงร้อยละ 10.2 

ทั้งนี้ในไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัทมีทรัพย์สินดำเนินงานที่สามารถสร้างรายได้อยู่ที่กว่าร้อยละ 85 รวมมูลค่า 125,758 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 52 เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 2562 โดยสะท้อนศักยภาพการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED Strategy โดยสามารถเปิดตัวโรงแรมและห้องอาหารหลากหลายแห่งในไตรมาส 3 รวมมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกตามงบการเงินของปี 2566 ทาง AWC มีการเติบโตต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน ที่ 7,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.9  เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการที่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมอื่นๆ นอกกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักโรงแรมในเครือ AWC เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก ใน 9 เดือนแรกของปี สูงถึง 3,619 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 87.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ AWC ได้ปรับกลยุทธ์ในการเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันให้กับโครงการในพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง พร้อมตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโตของกระแสเงินสดในระยะยาว

ซึ่งในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ในไตรมาส 3 ปี  2566 ผลการดำเนินงานตามงบการเงินของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีกำไรจากการดำเนินงาน อยู่ที่ 692 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการเปรียบเทียบราคาห้องพักและอัตราการเข้าพัก ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรม Courtyard by Marriott Phuket Town มีค่า RGI เท่ากับ 254 และโรงแรม Bangkok Marriott Hotel The Surawongse เท่ากับ 218 เป็นต้น นอกจากนี้ AWC ยังมุ่งเสริมความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอกลุ่มโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ เสริมศักยภาพด้วยการพัฒนาโครงการคุณภาพในพอร์ตโฟลิโอ พร้อมร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก เพื่อสนับสนุนการเติบโตของทรัพย์สินดำเนินงานในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ AWC มุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเปิดตัวโรงแรมและห้องอาหารชั้นนำระดับโลกมากมาย เพื่อส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก โดยในไตรมาสที่ 3 นี้ AWC มีจำนวนห้องพักรวม 6,034 ห้อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 76 เทียบกับก่อนโควิด-19 ในปี 2562 จากการเปิดดำเนินงานหลายโครงการ อาทิ การเปิดโรงแรม INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit ที่ออกแบบและก่อสร้างตามกรอบการรับรองของมาตรฐานอาคาร Excellence in Design for Greater Efficiency (EDGE) การเปิดโรงแรม InterContinental Chiang Mai The Mae Ping ซึ่งเป็นโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ภายใต้แบรนด์ InterContinental แห่งแรกของภาคเหนือ และเป็นโรงแรมในรูปแบบพิพิธภัณฑ์มีชีวิตแห่งแรกของไทยที่ให้แขกได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและศิลปะล้านนา และเป็นโรงแรมที่ได้รับการพิจารณารับรองมาตรฐาน LEED สําหรับการออกแบบและก่อสร้างอาคาร และมาตรฐาน WELL Pre-certified แห่งแรกของภาคเหนือ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มลักซ์ชัวรี่จากทั่วโลก 

รวมไปถึงการเปิด Chiang Mai Marriott Hotel โรงแรมแบรนด์ Marriott แห่งแรกของภาคเหนือ ที่มีพื้นที่เพื่อรองรับการจัดงานประชุม MICE ระดับลักซ์ชัวรี่ที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเปิดห้องอาหารใหม่ด้วยคอนเซ็ปที่มีเอกลักษณ์ ดึงดูดลูกค้าหลากหลายไลฟ์สไตล์ อาทิ การเปิดห้องอาหารจีน Yue Restaurant and Bar ที่โรงแรม Courtyard by Marriott Phuket Town และห้องอาหารญี่ปุ่นรวม 4 ร้านต้นตำรับระดับพรีเมี่ยม Kissuisen ที่โรงแรม Bangkok Marriott Hotel The Surawongse ทั้งนี้ปัจจุบันมีจำนวนโรงแรมของ AWC ที่เปิดดำเนินการทั้งหมด 22 โรงแรม

สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้าปลีก ในไตรมาส 3 ปี 2566 มีกำไรจากการดำเนินงาน ตามงบการเงินอยู่ที่ 963 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 124.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับปรุงพัฒนาศูนย์การค้าให้เข้ากับกลยุทธ์การตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะศูนย์การค้าเพื่อการท่องเที่ยว อาทิ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ที่ได้ปรับกลยุทธ์การตลาดสู่การเป็นรีเทล-เทนเม้นท์ริมแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งช่วยให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ สำหรับธุรกิจค้าส่งนั้น ทาง  AWC ได้ร่วมมือกับ “Koelnmesse” ผู้จัดงานแสดงสินค้าชั้นนำระดับโลกจากเมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี ร่วมยกระดับอุตสาหกรรมการค้าส่งไทย สร้างเครือข่ายระดับโลกเพื่อเชื่อมโยงพันธมิตร ผู้ซื้อ และผู้ขายผ่านฐานเครือข่ายของ AWC และ Koelnmesse สนับสนุนประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการสรรหาสินค้า ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระดับภูมิภาค

ขณะที่ กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน ยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3 ปี 2566 มีอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากกลยุทธ์การยกระดับอาคารสำนักงานให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับองค์กรและคนทำงานรุ่นใหม่ทั่วโลก อาทิ การเปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่ที่รองรับเทรนด์อนาคตในการผสมผสานการทำงานและการใช้ชีวิตเข้าด้วยกัน รวมถึงการได้ต้อนรับ 2C2P บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก เปิดสำนักงานแห่งใหม่ที่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมร่วมขับเคลื่อนดิจิทัลอีโคซิสเต็มในอาคาร เชื่อมต่อผู้เช่าและพนักงานของบริษัทชั้นนำเข้าด้วยกัน ตอกย้ำอาคารสำนักงานรูปแบบใหม่ที่ผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์อย่างลงตัวที่แท้จริง