ศิธา ทิวารี ลุยพื้นที่คลองเตย ย้ำความผูกพันกับชาวชุมชน อ้อนใครจะรู้ปัญหาของชาวชุมชนเท่าเบอร์11 ซึ่งเป็นลูกหลานชาวคลองเตย และเป็น ส.ส.ในเขตนึ้ถึง2สมัย ประกาศชัดรู้ทุกความต้องการ ขอโอกาสแค่ได้ทำงานเท่านั้น น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่ากทม.หมายเลข 11พรรคไทยสร้างไทย เดินพบป่ะพี่น้องชุมชนคลองเตย เขตวัฒนา เช่น ชุมชนล็อค 123 ชุมชนริมทางรถไฟ ชุมชนแฟลต 1-10 และชุมชนน้องใหม่ ซึ่งพื้นที่เหล่านนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นทางการเมือง จึงมีความคุ้นเคย กับวิถีของชุมชน คุ้นเคยกับภูมิศาสตร์ต่างๆของพื้นที่ และที่สำคัญยังคุ้นเคยกับพี่น้องประชาชนชาวคลองเตยทุกคน และในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนมอบของกินของฝาก ตลอดการลงพื้นที่ขอคะแนนเสียง น.ต.ศิธา ระบุว่า ตนมีความผูกพันกับพื้นที่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อครั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในปี 2544 ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องชาวคลองเตยมาอย่างยาวนาน จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตดังกล่าวถึง 2 สมัยติดต่อกัน ทุกครั้งที่พี่น้องมีความทุกข์ ตนไม่เคยละทิ้ง ที่จะเดินเคียงข้าง ซึ่งตนทำแบบนี้มาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็น ส.ส.เลยด้วยซ้ำ โดยครั้งหนึ่งในชุมชน คลองเตย บ้านเรือนของพี่น้องถูกไฟไหม้ใหญ่ ตนได้ลงพื้นที่และกินนอนอยู่ใต้ทางด่วน กับพี่น้องประชาชนผู้เดือดร้อน จนบ้านทุกหลังที่เสียหายไปจากไฟไหม้สามารถถูกสร้างขึ้นมาใหม่จนเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ร่วมกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนจึงมีความผูกพันกับพี่น้องในคลองเตย และไม่เคยทิ้งพื้นที่แม้ช่วงที่โดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง จะไม่ได้ลงมาร่วมทำกิจกรรมทางการเมือง แต่เมื่อใดที่พี่น้องประชาชนมีความเดือดร้อน ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ยื่นมือเข้ามาดูแลช่วยเหลือตลอดมา ตนเข้าใจดีว่าปัญหาของพี่น้องชาวคลองเตยเป็นอย่างไร และจะต้องแก้แบบไหนเพื่อให้ตรงตามความต้องการของชาวชุมชน ดังนั้นการเลือกตั้งที่จะถึงในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ จึงขอโอกาสให้ ลูกหลานชาวคลองเตยคนนี้ ได้เข้าไปรับใช้พ่อแม่พี่น้องทุกคน เพื่อแก้ปัญหาคลองเตยแก้ปัญหากรุงเทพฯของเรา น.ต.ศิธา ยังย้ำด้วยว่า กทม.จะเป็น พื้นที่นำร่องในการผลักดันนโยบายกองทุนเครดิตประชาชนเพื่อคนตัวเล็ก หรือกองทุนคนตัวเล็ก ซึ่งเป็นการสร้างเครดิตประชาชนเพื่อล้างหนี้นอกระบบ โดยพี่น้องประชาชนสามารถกู้ได้ ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 1 ต่อเดือน เพื่อเป็นเงินทุนในการตั้งตัวใช้ในยามฉุกเฉิน กองทุนนี้จะเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินของพี่น้องประชาชนตลอดไป โดยสามารถเข้าถึงได้ง่ายในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ขณะเดียวกัน ในพื้นที่คลองเตยจำเป็นต้องพัฒนา คุณภาพการศึกษาโดยเฉพาะโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร จะต้องเป็นโรงเรียนคุณภาพดีใกล้บ้าน ส่งเสริมให้เด็กได้เรียนในสิ่งที่ชอบ เรียนรู้ในสิ่งที่สามารถออกมาสร้างอาชีพส่งเสริมการทำมาหากินได้ และต้องทำให้โรงเรียนทุกแห่งมีมาตรฐานเดียวกัน ทั้งทางโภชนาการและความรู้ มีการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่ ไม่ใช่การเสนอเชิงอุดมคติ ที่ต้องการความเป็นเลิศทางวิชาการแบบเลื่อนลอยเท่านั้น เพราะยังมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอยู่ ทั้งในเรื่องโอกาสและมาตรฐานของสถาบันแต่ละแห่ง จึงต้องสร้างโรงเรียนทุกแห่งให้มีมาตรฐานทัดเทียมกัน