ผอ.ส่วนควบคุมการก่อสร้างอาคารและผังเมืองเทศบาลนครตรัง “แจง” กรณีชาวบ้านแจ้งความดำเนินคดีนายช่างโยธาข้อหาละเว้นปฎิบัติหน้าที่ไม่เป็นความจริง “ชี้” ปัญหาเกิดจากการบริหารภายใน ตะลึงชาวบ้านรุกเขตถนนสายหลักหลายพันราย พร้อมเดินหน้ารื้อถอนปรับภูมิทัศน์เมือง (คืบหน้าข่าววันที่ 20 ตุลาคม ที่ชาวบ้านแจ้งความฯ จึงต้องเปิดโอกาสให้ ผู้เสียหายได้มีโอกาสชี้แจงเพื่อความสมบูรณ์ของข่าวครับ) ผอ.ส่วนควบคุมการก่อสร้างอาคารและผังเมืองเทศบาลนครตรัง “แจง” กรณีชาวบ้านแจ้งความดำเนินคดีนายช่างโยธาข้อหาละเว้นปฎิบัติหน้าที่ไม่เป็นความจริง “ชี้” ปัญหาเกิดจากการบริหารภายใน ตะลึงชาวบ้านรุกเขตถนนสายหลักหลายพันราย พร้อมเดินหน้ารื้อถอนปรับภูมิทัศน์เมือง รายงานข่าวจากจังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมถึงความคืบหน้า นายนราวิชญ์ วังสโรจน์ ชาวบ้านต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีต่อนายประยุทธ จงไกรจักร นายช่างโยธาชำนาญงาน นายช่างควบคุมอาคาร เทศบาลนครตรัง ความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยอ้างว่า อาคารของนายนราวิชญ์ ตั้งอยู่บนที่ดินริมถนนวิเศษกุล อ.เมือง จ.ตรัง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น โดยที่ก่อนหน้านี้ สำนักการช่างเทศบาลนครตรังมีคำสั่งให้ นายนราวิชญ์ วังสโรจน์, นางพัชนี ธรรมพานิชย์ และ นายกนกพล จันทนกาญจน์ รื้อถอนอาคารในส่วนที่รุกล้ำถนนสาธารณะ มาตรา 42 พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ต่อมานายนราวิชญ์ , นางพัชนี ได้ทำการรื้อถอนแต่ปรากฏว่า อาคารของนายกนกพล ยังไม่ได้มีการรื้อถอนทำให้นายนราวิชยญ์ แจ้งความดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องหาความเท่าเทียมกันในสังคม ล่าสุดที่สำนักการช่างเทศบาลนครตรัง นายสนั่น รักดำ ผู้อำนวยการส่วนควบคุมการก่อสร้างอาคารและผังเมือง เทศบาลนครตรัง ชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้ตนได้ทำหนังสือบันทึกข้อความถึงผู้อำนวยการสำนักการช่าง/ปลัดเทศบาล และได้ส่งเรื่องการกระทำความผิดตาม พรบ.ควบคุมอาคารกรณีก่อสร้างดัดแปลงอาคารรุกล้ำที่สาธารณะ ราย นางพัชนี ธรรมพานิชย์ นายนราวิชญ์ วังสโรจน์, และ นายกนกพล จันทนกาญจน์ โดยได้มีการออกคำสั่งให้รื้อถอนอาคารตามแบบ ค.7 ให้ฝ่ายนิติกรตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย ตามบันทึกสำนักการช่างลงวันที่ 12 กันยายน 2559 นายสนั่น ชี้แจงอีกว่า ต่อมาฝ่ายนิติกรได้มีบันทึกลงวันที่ 25 มกราคม 2560 แจ้งว่าได้ตรวจสอบเอกสารเพื่อจะดำเนินการตามกฎฆมายอาญา ปรากฎว่าคำสั่งให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวมิได้ลงนามโดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นผู้มีอำนาจจึงเป็นคำสั่งที่มิชอบ อีกทั้งมิได้แจ้งสิทธิการอุทธรณ์ตาม พรบ.วิธีปฎิบัติราชการทางการปกครอง พ.ศ. 2539 เหตุการณ์ดังกล่าวสำนักการช่างฯ ได้ส่งหนังสือไปยังฝ่ายนิติกร ตั้งแต่วันที่ 12 กันยาน 2559 ปรากฏว่า ฝ่ายนิติกรให้ความเห็นว่ารักษาการนายกเทศมนตรีขณะนั้น ผู้แทนคือ นายสาโรจน์ คงนคร รองนายกเทศมนตรี ปฎิบัติราชการแทนนายกเทศมนตรี ไม่มีอำนาจเซ็นต์ออกคำสั่งในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงเก็บเอกสารไว้ไม่ได้ส่งกลับมาให้สำนักงานช่างฯ ต่อมาผู้ร้อง (นายนราวิชยญ์)ทำหนังสือมายังสำนักการช่างฯเพื่อขอความเป็นธรรม ผมจึงเรียนข้อเท็จจริงไปยังตามสายบังคับบัญชา “ข้อเท็จจริง สำนักการช่างได้ตรวจสอบแล้วขอชี้แจงว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ใน พรบ.ควบคุมอาคารแล้ว ส่วนการตรวจสอบพิจารณาว่าลงนามโดยเจ้าพนักงานท้องถิ่น เป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติกรเมื่อพบว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบสมควรแจ้งให้สำนักการช่างทราบเพื่อแก้ไขโดยเร็ว เนื่องจากเป็นคำสั่งทางปกครอง กรณีฝ่ายนิติกรอ้างว่ามิได้แจ้งสิทธิการอุทธรณ์ฯในแบบ ค.7 สำนักช่างได้แจ้งให้ผู้รับคำสั่งทราบถึงสิทธิอุทธรณ์ต่อกรรมการการพิจารณาอุทธรณ์ ตามมาตรา 52 แห่ง พรบ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และแก้ไขเพิ่มเติม ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันทราบคำสั่งแล้ว ซึ่งปรากฏในคำเตือนด้านหลังหลังคำสั่ง(ค.7) ทุกฉบับ “ และเห็นควรพิจารณาออกคำสั่งให้รื้อถอนอาคาร(ตามแบบ ค.7) รายนายนราวิชญ์ วังสโรจน์, นางพัชนี ธรรมพานิชย์ และ นายกนกพล จันทนกาญจน์ อีกครั้งตามความเห็นฝ่ายนิติกรข้างต้น สรุปว่า สำนักการช่างฯได้มีการดำเนินการนำคำสั่งให้รื้อถอนอาคาร ตามมาตรา 42( แบบ ค.7) บริเวณอาคารก่อสร้าง ถึง2 ครั้ง จนถึงวันนี้ผมไม่ทราบว่าฝ่ายนิติกรได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับราย นายกนกพล จันทนกาญจน์ ที่ฝ่าฝืนแล้วหรือยัง สำนักการช่างฯยืนยันว่าได้ดำเนินการตามขั้นตอนครบถ้วนปรากฎตามเอกสารทุกประการจนหมดหน้าที่ของสำนักการช่างฯ” นายสนั่น แจง นายสนั่น กล่าวว่า ขณะเดียวกันขอเรียนให้ทราบกันตามความเป็นจริงว่าบริเวณถนนวิเศษกุลทั้ง 2 ฟากฝั่ง มีการก่อสร้างอาคารรุกล้ำที่สาธารณะโดย ทางสำนักการช่างฯได้ออกคำสั่งให้มีการรื้อถอนไม่ต่ำกว่า 30 ราย อีกทั้งถนนสายหลักในเขตเทศบาลนครตรังหลายพันราย ทางสำนักการช่างฯไม่ได้นิ่งนอนใจพยายามเข้ามาจัดการเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง กำลังดำเนินการไปเรื่อยๆจะดำเนินการในครั้งเดียวทั้งในเขตเทศบาลคงไม่ได้ ต้องทยอยทำเพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น ตนยืนยันว่าหลังจากที่มีการรื้อถอนแล้วเทศบาลฯจะเข้าไปปรับปรุงแนวเขตสาธารณะเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ร่วมกัน ต่อไปเมืองที่เจริญแล้วด้านผังเมือง ด้านสถาปัตยกรรม พื้นที่สาธารณะทุกคนจะต้องใช้ร่วมกันได้