ตามที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับสมัครสอบเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีทั่วไป ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยเปิดให้ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพครู ตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอน ก่อนการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษานั้น
วันที่ 21 มี.ค.60 นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สพฐ.ได้จัดประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ร่วมกับ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ เพื่อซักซ้อมความเข้าใจในการรับสมัครสอบบรรจุครูผู้ช่วย ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 29 มี.ค.- 4 เม.ย.60 โดยมีอัตราว่างประมาณ 12,000 อัตรา ซึ่ง ก.ค.ศ.ได้ปรับหลักเกณฑ์เปิดกว้างให้ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพมาสมัครได้
ดังนั้น ทุกเขตพื้นที่ที่เปิดสอบจะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ดังกล่าว
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังได้ซักซ้อมความเข้าใจด้วยว่า ในกรณีผู้สมัครไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู สอบได้ ทางคณะกรรมกาศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) จะต้องจัดส่งบัญชีรายชื่อมายัง สพฐ. เพื่อดำเนินการประสานไปยังคุรุสภา ในการออกหนังสืออนุญาตปฏิบัติการสอนโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูให้ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีสิทธิ์สมบูรณ์ที่จะได้รับการบรรจุเป็นครูผู้ช่วย
อย่างไรก็ตาม ภายในระยะเวลา 2 ปี คนกลุ่มนี้จะต้องพัฒนาตัวเองโดยศึกษาเพิ่มเติมในหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิต) เพื่อให้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูตามเงื่อนไขของคุรุสภา
ส่วนกรณีที่มีนักศึกษาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ หลักสูตร 5 ปี ออกมาเรียกร้องว่าการปรับเกณฑ์ดังกล่าวทำให้ผู้ที่เรียนหลักสูตรครู 5 ปีเสียเปรียบนั้น
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ที่ต้องการเปิดทางให้ได้คนดี คนเก่งมาเป็นครู ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของประเทศ ทั้งนี้ ตนมองว่าการสอบภาค ข ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง และภาค ค ความรู้ความเหมาะสมกับตำแหน่ง ผู้ที่เรียนจบวิชาชีพครูจะมีภาษีมากกว่าอยู่แล้ว
"เมื่อมีการเปิดกว้างให้ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูมาสมัครสอบได้ เชื่อว่าปีนี้จะมีผู้ให้ความสนใจมาสมัครสอบครูผู้ช่วยมากถึงประมาณ 150,000 คน จากปีที่ผ่านมาที่มีผู้สมัครกว่า 130,000 คน ซึ่งในการสมัครจะต้องมีการแยกกลุ่มผู้สมัครที่มีใบอนุญาตฯกับไม่มีใบอนุญาตฯ เพื่อนำมาใช้ในการสังเคราะห์ข้อมูลว่ากลุ่มใดมีอัตราส่วนในการสอบได้มากกว่ากัน ซึ่งจะสามารถตอบคำถามข้างตนได้และเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการสอบบรรจุในครั้งต่อไป" นายการุณ กล่าว