ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ “ยิงผู้หญิงท้อง ยิงผู้ใหญ่บ้าน ยิง อส.-อดีตทหารพราน มีการปะทะกัน” ข้างต้นคือ “ภาพรุนแรง” ซ้ำๆ ที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันในพื้นที่ชายแดนใต้ภายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และขวัญกำลังใจของผู้คน ขณะที่อีกด้านหนึ่ง คือ “เสียง” ที่สะท้อนเนื้อหาผ่านปากคำ “ผู้เห็นต่าง” หลายคน ซึ่งปัจจุบันมีทั้งที่ได้หันเหวิถีการต่อสู้ไปในรูปแบบใหม่ กับยึดมั่นกับแนวทางการต่อสู้ในวิถีเดิมๆ “หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ” หรือ นายดาโอ๊ะ มะเซ็ง อดีตแกนนำขบวนการพูโล เคยถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดน ต้องติดคุกนานถึง 18 ปี ก่อนได้รับสิทธิ์พักโทษและได้รับการปล่อยตัวเป็นกรณีพิเศษเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2558 ตัดสินใจกลับไปพำนักที่บ้านเกิดในพื้นที่ ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี พร้อมกับเปิดร้านขายข้าวสารอยู่ที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว โดยรับข้าวสารคัดพิเศษจำนวน 20 ตัน จาก จ.ชัยนาท มาบรรจุถุงจำหน่ายในขนาด 50 กิโลกรัม 25 กิโลกรัม และ 5 กิโลกรัม ใช้ชื่อว่า “ข้าวดาโอ๊ะ” เปิดร้านใกล้ปั๊มน้ำมัน PT ริมถนนเพชรเกษม (ปัตตานี-นราธิวาส) บ้านกลาพอ อ.สายบุรี เขาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวอิศราภาคใต้ ว่า นอกจากเป็นการช่วยชาวนาภาคกลางในช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำแล้ว ยังเป็นการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 และร่วมกันเดินหน้าการพัฒนาในห้วงเวลาที่ประเทศชาติต้องการความสามัคคีปรองดอง อยากชักชวนทุกคนที่เคยหลงผิดให้ออกมาร่วมสร้างความสงบสุขในพื้นที่เพื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลใหม่ เพราะทุกคนรักในหลวง            “ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงในหลวงในทางไม่ดี เพราะพระองค์เป็นกษัตริย์ที่ดี จะหากษัตริย์แบบนี้ไม่มีแล้ว สมัยก่อนตอนอยู่ในขบวนการ คนในขบวนการพูดตลอดว่า ถ้าไม่มีในหลวงก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร เพราะในหลวงทรงช่วยทุกคน ไม่เลือกปฏิบัติ และทรงให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ไม่แบ่งแยกศาสนา” ดังนั้น แง่คิดหนึ่งที่น่าสนใจที่ นายหะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ สะท้อนไว้เกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ดีที่สุด คือ การเดินตามแนวพระราชดำริของในหลวง “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเขาบอกว่า “ในวันนี้ทุกคนต้องช่วยกัน” ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน อดีตประธานเบอร์ซาตู “องค์กรร่วม” ที่รวบรวมนักต่อสู้และผู้เห็นต่างจากรัฐ เพื่อปลดปล่อยดินแดนปัตตานีทุกกลุ่ม เขาเจรจากับรัฐบาลไทย เป็นอดีตแกนนำอีกคนหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ดิจิทัล NOW26 ว่า แนวคิดแยกดินแดนหมดสมัยไปแล้ว การใช้ความรุนแรงเข่นฆ่ากันไม่ได้ก่อประโยชน์อะไร นอกจาก “ตายเปล่า” พร้อมกับเสนอแนะให้รัฐบาลไทยเปิดโต๊ะพูดคุยเจรจาขึ้นในประเทศ เพื่อสร้างสันติสุขชายแดนใต้อย่างแท้จริง เขาให้ทัศนะน่าสนใจต่อประเด็นแนวคิดแต่ละองค์กรที่ต่อต้านรัฐในช่วงที่ผ่านมาว่า มีความคล้ายคลึงกัน นั่นคือการต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐไทย โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ไปจับคนที่ไม่ผิด ซึ่งเป็นจุดที่แต่ละองค์กร “เห็นต่าง” ทำให้ขัดใจ รู้สึกไม่ดี เพราะเชื่อว่า “คนผิดไปปล่อย คนไม่ผิดไปจับ” นอกจากนี้ยังมองว่า ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดจากฝีมือของกลุ่มที่ต่อต้านรัฐอย่างเดียว แต่มาจากกลุ่มอื่นด้วย   “เรื่องการแบ่งแยกดินแดนเป็นไปไม่ได้ เป็นความฝันที่ผิด ตั้งแต่ผมกลับมาพอมาเห็นสภาพ คิดว่าเราน่าจะสู้เหมือนกัน แต่สู้ด้านพัฒนา ด้านเศรษฐกิจ ไม่ใช่สู้แบบทิ้งระเบิด มันผิด สามจังหวัดเป็นพื้นที่ที่ร่ำรวย แต่เอามาไม่ได้ เพราะทุกคนกลัวหมด ยิงกันสู้กันไม่มีประโยชน์อะไร แต่มีโทษด้วย ตายกันเกือบทุกอาทิตย์ เราตายเปล่า ถ้าใครก็ตามที่ดูประวัติศาสตร์ คนที่แยกดินแดน ที่ต่อสู้ ส่วนใหญ่ 5 ปีเท่านั้นจะได้รู้ว่าชนะหรือแพ้ แต่ของเราสู้มาหลายสิบปีแล้ว มีหลายรุ่นมาแล้ว รอบนี้ 10 กว่าปีแล้ว ก่อนหน้านี้อีก แล้วจะสู้ทำไม สู้สิ่งที่เราสู้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่เราต้องร่วมกันทั่วโลก เหมือนกับอาเซียน อียู (สหภาพยุโรป) เพื่อทำงานด้วยกัน ไม่ใช่แยกกัน มันผิดเวลา ผิดสมัย” ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน มองประเด็นของการพูดคุยระหว่างรัฐไทยกับกลุ่ม “มารา ปาตานี” ด้วยว่า การพูดคุยเป็นเรื่องดี แต่ต้องพูดเพื่อแก้ปัญหา พูดกับคนที่ทำ พูดกับคนที่สร้างปัญหา หากไม่รู้ว่าใครสร้างปัญหา ก็ต้องหาให้รู้ก่อนว่าใครกันแน่เป็นตัวการ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แล้วคุยกับคนนั้น โดยเฉพาะกับคนที่ “มีปืน” ซึ่งอยู่ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นบันนังสตา ยะหา บาเจาะ ฯลฯ เพราะการไปพูดกับกลุ่มใดก็ตามที่ไม่ได้มีปืน มันก็แก้ไม่ได้ เสียเวลา ประเด็นหลักจึงอยู่ที่การเปลี่ยนวิธีการพูด แทนที่จะจับกลุ่มคุย “นอกบ้าน” ก็ต้องย้ายฐานมาคุยกัน “ในบ้าน” ขณะที่ ติชิลา พุทธสาระพันธ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส ศูนย์ข่าวภาคใต้ไทยพีบีเอส ได้โพสต์ภาพและความสั้นๆ ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า Exclusive... เปิดตัว..Mastermind.. ผ่ากลุ่มขบวนการมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานี หรือ GMIP.. (กลุ่มที่เคยถูกมองว่าใช้วิธีการก่อเหตุที่รุนเเรงมากที่สุด)... ใต้ร่ม..มาราปาตานี...ไทยพีบีเอส..ที่นี่...ที่เดียว เร็วๆ นี้... พร้อมกับนำเสนอภาพ “นาซอรี แซะเซ็ง” หรือชื่อจัดตั้ง.. อาแว แคและ ที่ถูกตั้งรางวัลนำจับมากกว่า 3 ล้านบาท.. ตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลัง คนที่ 2 กลุ่มมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานี หรือ GMIP สื่อสารผ่านไทยพีบีเอสว่า “ผมต่อสู้เพื่อให้คนปัตตานี (คนมาลายู) มีเสรีภาพในกำหนดอนาคตของตัวเอง เราไม่เคยปฏิบัติการกับเป้าหมายอ่อนแอ เพราะเราเป็นนักปฏิวัติ นักต่อสู้.. รัฐรู้ดีว่าวันนี้จะหยุดความรุนแรงอย่างไร ทำอย่างไรให้พวกเราวางอาวุธ เพียงแต่จะยอมรับหรือเปล่า และตราบใดที่รัฐยังใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา แนวร่วมก็จะเกิดขึ้นเหมือนสายฝน...” ผบ.กองกำลังคนที่สอง..ปัจจุบันดูแลกองกำลังติดอาวุธ 300 คน และแนวร่วมฝ่ายสนับสนุนอีก 500 คน ภาพต่างของ “ความรุนแรง” กับความพยายามพูดคุยเพื่อนำมาซึ่ง “สันติภาพ” ภาพต่างของ “นักต่อสู้” ผู้เห็นต่างจากรัฐ กับผู้ยังคงยึดมั่นในวิถีต่อสู้แบบเดิมๆ ภาพต่างของการมอง “ประเด็นปัญหา” และแนวทาง “ดับไฟใต้” ภาพเหล่านี้ยังคงปรากฏทับซ้อนอยู่อย่างต่อเนื่อง ภายใต้โจทย์หรือกุญแจสำคัญที่ผู้ติดตามสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ ให้แง่คิดว่า ปัจจัยชี้ขาดความขัดแย้งครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม อยู่ที่ “ความจริงใจ”