แสงไทย เค้าภูไทย
นโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วันแ ละเงินเดือนผู้จบปริญญาตรี 25,000บาทของเพื่อไทย ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นการเพิ่มภาระต้นทุนผลิต กระทบการส่งออก ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบรุนแรง แต่หากดูกันให้ครบทั้งวัฏจักรเศรษฐกิจแล้ว กลับเป็นผลดีเพิ่มจีดีพี เพิ่มรายได้รัฐ
พรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของพรรคเพื่อไทยโจมตีว่าเป็นการหาเสียง ขณะที่องค์กรหน่วยงานด้านแรงงานบอกว่าเป็นการทำลายโครงสร้างการจ้างงาน ส่วนองค์กรนายจ้างหนักใจจะเป็นการเพิ่มภาระแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ผลิตเพื่อส่งออกที่ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น ขีดแข่งขันลดลง
อันที่จริงแทบจะทุกรัฐบาลที่ผ่านมาพยายามจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ แต่ก็เพิ่มไม่ได้มาก หรือเพิ่มไม่เข้าเป้าหมาย
อย่างรัฐบาลชุดนี้ก็เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ได้แค่ 5-8% เท่านั้น
เพื่อไทยก็ตั้งเป้าไม่ต่างกัน เพียงแต่เพิ่มสูงจนถูกโจมตีว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นการหาเสียง
แต่ถ้ามองไปที่วงจรการผลิตแล้ว ค่าแรงเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของต้นทุนการผลิตเท่านั้น
องค์ประกอบหลักของต้นทุนการผลิตประกอบด้วย 1.วัตถุดิบ (Raw Materials, Material Cost) 2.ค่าจ้างแรงงาน (Labor Cost ) 3. ค่าใช้จ่ายดำเนินการผลิต (Manufacturing Cost) 4. โสหุ้ย หรือค่าใช้จ่ายปลีกย่อย(Overhead Cost) เช่นค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค ค่าซ่อมบำรุงเครื่องจักร อุปกรณ์ ภาษี สวัสดิการลูกจ้าง ฯลฯ
ค่าจ้างจึงเป็นแค่องค์ประกอบ 1 ใน 4 เท่านั้น และมีสัดส่วนราว 1ใน 4 ที่ถ้าขยับเพิ่มเป็น 1 ใน 3 ก็ไม่น่าจะเป็นภาระแก่นายจ้าง
เพราะความสำคัญของลูกจ้างแรงงานนั้นมีมาก โดยเฉพาะแรงงานฝีมือ
การเพิ่มค่าแรงจะมีผลทางอ้อมในการเพิ่มผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GDP) ทั้งทางตรงและทางอ้อม
จีดีพีนั้นประกอบด้วย สินค้าสำเร็จรูปและบริการ (Finished Goods and Services) การบริโภคหรือการใช้จ่ายในประเทศ (Domestic Expenditure)การใช้จ่ายภาครัฐ ( Government Spending ) ธุรกิจและการลงทุน( Business Investment) การส่งออก (Exports) และ การนำเข้า( Imports)
ตัวสำคัญที่น่าจับตาคือการบริโภคในประเทศ ถ้าหากประชากรมีรายได้มากขึ้น สภาพความเป็นอยู่ กินดีอยู่ดีขึ้น มีการบริโภคย่อมจะเพิ่มขึ้น
สินค้าอุปโภคบริโภคก็ย่อมจะขายดี เพราะค่าใช้จ่ายสำคัญที่สุดของมนุษย์ก็คือค่าใช้จ่ายเพื่อยังชีพ นั่นคืออาหาร ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ซึ่ง 3ปัจจัยหลังมีความสำคัญถัดไป
เมื่อประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นจนถึงขั้นปลดหนี้ และเหลือออม
รัฐก็สามารถขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% ได้เพราะผู้บริโภคสามารถรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นได้
ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่ส่งเงินเข้ารัฐมากที่สุด เป็นภาษีเสมอภาค คนรวย คนจนจ่าย 7% ของราคาสินค้าเท่ากันหมด
เพราะภาษีนี้บังคับเก็บจากสินค้าตั้งแต่มาม่าซองละ 5-10 บาทไปยันเสื้อ ผ้า รองเท้าหรูคู่ละเป็นหมื่น
แรงงานที่เคยมีรายได้แค่หัวเดือน ท้ายเดือน ก็จะเหลือเงินจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นพอที่จะจับจ่ายใช้สอยในสิ่งที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่นพักผ่อนหย่อนใจท่องเที่ยว ปรับปรุงที่อยู่อาศัย ซื้อเสื้อผ้าใหม่
อีกด้านหนึ่ง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากค่าจ้างเงินเดือนของแรงงานก็เป็นภาษีอีกตัวที่เพิ่มขึ้นตามค่าแรงที่เพิ่ม
นี่คือผลลัพธ์ทางอ้อม ทั้งการเพิ่มการบริโภคในประเทศ ทั้งเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มภาษีบุคคลธรรมดา
อีกด้านหนึ่ง การเพิ่มค่าแรงย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต รัฐจึงต้องหาทางชดเชยให้ผู้ประกอบการ
การลดค่าสาธารณูปโภคซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญหนึ่งในสี่ขององค์ประกอบหลักของต้นทุนทั้งหมด ก็จะชดเชยได้
การประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทของเพื่อไทยออกจะทำให้ตื่นตระหนกกันในหมู่ผู้ประกอบการ เพราะเข้าใจผิดว่าจะขึ้นพรวดพราด
แต่แท้จริงเป็นเป้าหมายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งปัญหาที่ทำให้เศรษฐกิจโลกแปรปรวนจนถึงขั้นถดถอยนั้น ถึงเวลานั้นจะพลิกกลับมาเฟื่องฟูได้
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หากค่าแรงไม่แปรตาม แรงงานก็จะอยู่กันอย่างแร้นแค้น อย่าลืมว่ายุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ราคาแกงตามแผงลอยขายกันถุงละ 30-35 บาท มาวันนี้รัฐบาลบิ๊กตู่ แกงถุงละ 50-60 บาท แพงขึ้นมาเกือบ 50%แต่ค่าแรงขั้นต่ำ ขึ้นมาเพียง 5-8% เท่านั้น