เสือตัวที่ 6 ปฏิบัติการไล่ล่ากองกำลังติดอาวุธของขบวนการแบ่งแยกการปกครองในแดนใต้ของไทย ในห้วงเวลานี้ ได้มีการปฏิบัติการรุกไล่ฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของขบวนการอย่างต่อเนื่อง ด้วยคนกลุ่มนี้ ล้วนถูกหล่อหลอมบ่มเพาะในหลายแง่มุมจากกลุ่มคนที่อิทธิพลทางความเชื่อในพื้นที่มาอย่างเป็นขบวนการและต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่มีแนวความคิดในการแบ่งแยกการปกครองของรัฐต่อคนในพื้นที่แห่งนี้ และแนวคิดในการแปลกแยกจากรัฐ ได้มีการส่งต่อสืบทอดมาคนแล้วคนเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า ปีแล้วปีเล่า จนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการ ได้รับการตอกย้ำอย่างเป็นระบบ จนเชื่ออย่างสนิทใจกลายเป็นความศรัทธาว่า กลุ่มคนในพื้นที่ ได้รับความอยุติธรรม โดนกดขี่ รังแกต่างๆ นานา ซึ่งพวกเขาต้องร่วมกันสานต่อแนวคิดนี้ และร่วมกันต่อสู้กับผู้กดขี่ จนเชื่ออย่างสนิทใจว่า พวกเขา (คนรุ่นปัจจุบัน) ต้องเข้ามารับผิดชอบการต่อสู้กับผู้กดขี่ เพราะถูกบ่มเพาะว่า นี่คือหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนจะปฏิเสธไม่ได้ แนวคิดความคิดแปลกแยกแตกต่างจนกลายเป็นความเคียดแค้นรัฐอย่างฝังรากลึก โดยการกระทำอย่างเป็นขบวนการและปิดลับมาอย่างยาวนาน กลายเป็นความยากลำบากที่รัฐ จะหาหนทางใดในการเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ และความศรัทธาของมวลชนในพื้นที่ได้โดยง่าย การเอาชนะกันด้วยอาวุธ เป็นหนทางเล็กๆ หนทางหนึ่งซึ่งเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในกระบวนการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิดที่ฝังรากลึกในสมองของพี่น้องในพื้นที่ในวงกว้าง การป้องกันเหตุร้ายที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐ และการไล่ล่าเพื่อนำกองกำลังติดอาวุธของขบวนการร้ายแห่งนี้ มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของรัฐ อันเป็นการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มคนที่ก่อเหตุร้ายของขบวนการ จึงเป็นเรื่องยากที่จะบรรลุความสำเร็จในระดับยุทธศาสตร์ นั่นคือการยุติการต่อสู้กับรัฐอย่างสิ้นเชิง และการนำสันติสุขมาสู่พื้นที่แห่งนี้โดยสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่เป็นกองกำลังติดอาวุธของขบวนการร้ายแห่งนี้ ก็ยังเป็นเป้าหมายสำคัญในระดับยุทธการ ที่รัฐต้องป้องกันและปราบปรามคนเหล่านี้ ไม่ให้ก่อเหตุร้าย สร้างอิทธิพลทางความคิด และบรรยากาศของการแก้ปัญหาในมิติอื่นๆ โดยเฉพาะมิติของการพัฒนาเพื่อความมั่นคง รวมทั้งมิติของการเอาชนะทางความคิด ผ่านกระบวนการพูดคุยสันติสุขที่กำลังรออยู่ข้างหน้า หากแต่ว่า คนในกองกำลังติดอาวุธเหล่านั้น หาใช่กลุ่มคนที่โดดเดี่ยวไม่ ในทางตรงข้าม กองกำลังติดอาวุธของขบวนการล้วนได้รับการอุ้มชูจากแนวร่วมในพื้นที่ชุมชน ที่ซ่อนพรางไปในกลุ่มประชาชนที่มีความเหนือชั้นในการตบตาเจ้าหน้าที่ความมั่นคง ทำให้กองกำลังติดอาวุธของขบวนการ สามารถปฏิบัติการร้ายได้ตลอดมา แม้ในบางช่วงบางขณะจะเบาบางลงบ้าง แต่นั่น ไม่ได้หมายความว่า คนกลุ่มนี้ ล้มเลิกความตั้งใจในการป่วนเมืองอย่างสิ้นเชิง พวกเขายังคงรวมตัว หาโอกาสในการปฏิบัติการร้ายทุกนาที ทั้งยังสามารถล่องหน หลบหนีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างยาวนาน ที่เป็นดังนี้ ก็เพราะคนกลุ่มนี้ ยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆ จากมวลชนที่เป็นแนวร่วมของขบวนการที่มีอยู่แทบทุกหัวระแหง ยิ่งไปกว่านั้น กองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ ถูกติดอาวุธทางความคิด ความเชื่อ จนกลายเป็นความศรัทธาอย่างบ้าคลั่งอย่างฝังรากลึกยาวนาน การที่จะหวังให้คนกลุ่มนี้ ยอมวางอาวุธและกลับออกมามอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของรัฐด้วยความสมัครใจนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย นั่นย่อมสะท้อน ตอกย้ำ ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้งว่า คนกลุ่มนี้ ถูกฝังลึกให้เกิดมีความคิดสุดโต่งและนิยมใช้ความรุนแรงทุกวิถีทางกับกลุ่มคนที่ถูกล้างสมองให้เชื่อว่าเป็นศัตรูของพวกเขา ปรากฏการณ์ของการไล่ล่า และปิดล้อมคนกลุ่มนี้หนแล้วหนเล่า จึงจบลงด้วยการวิสามัญฆาตกรรม ด้วยกองกำลังติดอาวุธของขบวนการร้ายแห่งนี้ ถูกสร้างมาอย่างเป็นระบบ พวกเขาพร้อมที่จะสู้ตาย ยอมสละชีวิตเพื่อคงแนวคิดการต่อสู้กับรัฐไว้ตามที่ถูกสั่งสมบ่มเพาะมาอย่างเข้มข้น และล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏการณ์การไม่ยอมรับในกระบวนการตามกฎหมายของรัฐ จึงปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อีกครั้งหนึ่ง เป็นการตอกย้ำให้ฝ่ายรัฐเห็นว่า การเอาชนะทางความคิดโดยการเปลี่ยนความคิด ความเชื่อของคนกลุ่มนี้นั้น เป็นไปไม่ได้เลย ปรากฏการณ์ที่ตอกย้ำความสุดโต่งทางความคิดที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐ มีความชัดเจนยิ่ง โดยเจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่ ม.3 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ทำให้เกิดการยิงปะทะกันขึ้นก่อนที่คนร้ายหนีเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านพักของเจ้าของโรงเรียนปอเนาะแห่งหนึ่ง ทำให้มีการปิดล้อมก่อนจะเจรจาให้คนร้ายออกมามอบตัว แต่คนร้ายได้ยิงและขว้างระเบิดใส่เจ้าหน้าที่เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ก่อนที่เหตุปะทะจะยาวนานถึง 7 ชั่วโมง ส่งผลให้คนร้ายถูกวิสามัญเสียชีวิต 2 ราย คือ นายคูไมดี รีจิ อายุ 33 ปี มีหมายจับ จำนวน 2 หมาย ส่วนอีกราย คือ นายอัมรี มะมิง อายุ 26 ปี มีหมายจับ 1 หมาย คดีลอบวางระเบิด กรุงเทพฯ เมื่อปี 62 รวมทั้งการติดตามไล่ล่ากลุ่มคนร้ายที่เหลือและหลบหนีจากเหตุปะทะ ได้เกิดปะทะกับกลุ่มคนร้ายซึ่งมีประมาณ 3 คนพร้อมอาวุธครบมือ โดยคนร้ายกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกันที่ถูกวิสามัญ 2 ศพเมื่อวันก่อน และเป็นกลุ่มที่เชื่อมโยงกับ นายยาการียา บาโง แกนนำคนสำคัญมีหมายจับ 19 หมาย ที่รับผิดชอบในการก่อเหตุใน จ.ปัตตานี แม้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐ จะพยายามเชิญผู้นำศาสนา และผู้นำท้องถิ่น มาเจรจาพูดคุยกับกลุ่มคนร้าย เพื่อให้เปลี่ยนความคิด ความเชื่อ ให้มีความคิดในแนวทางของศาสดาที่ถูกต้องตามหลักคำสอนที่แท้จริงก็ตาม โดยหวังให้คนร้ายกลุ่มนี้มอบตัว ตามนโยบายแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ต้องการปฏิบัติภารกิจจากเบาไปหาหนักและเพื่อลดความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย ทั้งยังมีการประสานไปยัง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ให้เฝ้าดูพฤติกรรมคนในหมู่บ้าน ด้วยเกรงว่าจะมีแนวร่วมขบวนการที่ซ่อนตัวอยู่ในชุมชน แอบส่งเสบียง หรือเคลื่อนไหวออกมาช่วยเหลือคนร้ายกลุ่มนี้ ปรากฏการณ์ไล่ล่า ปิดล้อมคนร้ายที่เป็นกองกำลังติดอาวุธของขบวนการร้ายแห่งนี้ จึงจบลงด้วยการวิสามัญฆาตกรรมอย่างที่เห็น ภายใต้การแอบสนับสนุนของคนในพื้นที่ที่ฝ่ายรัฐมองไม่เห็น หรือแยกไม่ออก สิ่งเหล่านี้ นักความมั่นคงของรัฐ จะต้องนำมาศึกษาวิเคราะห์ให้ดีว่า คนในขบวนการแห่งนี้ เปลี่ยนความคิด ความเชื่อไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะกระบวนการคิดของพวกเขาได้ถูกฝังรากลึกมาอย่างยาวนาน เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ความแปลกแยกแตกต่างทางความคิด ถูกขยายผลเป็นความเกลียดชังจนยากจะแก้ไข