เสือตัวที่ 6 การไล่ล่าโจรใต้กลุ่มหนึ่งที่ก่ออาชญากรรมสุดโหดเหี้ยมได้ จากกรณีที่คนร้ายในขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐกลุ่มนี้ได้ก่อไว้ ด้วยการยิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ พ่อ หลานชาย และลูกสาว เสียชีวิตทั้งหมดระหว่างครอบครัวผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นกำลังเดินทางไปทำมาหากินตามวิถีของชาวบ้าน ซ้ำยังเผาผู้เสียชีวิตทั้งสามอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ทั้งที่บุคคลทั้งสาม ไม่เคยก่อความเดือดร้อนใดๆ ให้ฝ่ายกลุ่มก่อเหตุในขบวนการเลยแม้แต่น้อย หากเพราะกลุ่มก่อความไม่สงบหัวคิดสุดโต่งในขบวนการร้ายแห่งนี้ ต้องการเพียงความสะใจที่ได้ฆ่าคนต่างถิ่น ทั้งยังต้องการแสดงให้เห็นว่า ยังคงมีความพยายามในการต่อสู้กับรัฐอยู่ต่อไป เพื่อแยกตัวเป็นอิสระในการปกครองของรัฐนั่นเอง พล.ต.คมกฤช รัตนฉายา ผบ.ฉก.ปัตตานี กล่าวว่า เหตุปะทะครั้งนี้ เจ้าหน้าที่มีความพยายามที่จะเจรจาเพื่อให้คนร้ายมอบตัวในทุกวิถีทาง เพื่อให้ออกมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมของรัฐที่เปิดโอกาสให้ต่อสู้อย่างเต็มที่ แต่กลับถูกยิงตอบโต้จนมีการยิงปะทะกันต่อเนื่องกินเวลาร่วม 10 ชั่วโมง กระทั่งคนร้ายถูกวิสามัญเสียชีวิต ส่วนอาวุธปืนและระเบิดที่ยึดได้นั้น จะได้นำไปตรวจสอบที่มาที่ไปว่าเป็นของใคร จากการสอบสวนผู้ดูแลรีสอร์ตให้การว่า ไม่รู้จักและไม่ทราบว่าทั้งสองเป็นคนร้าย ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองคนมาสมัครงานเป็นคนงานก่อสร้างต่อเติมรีสอร์ต และก็ได้ให้คนงานพักอาศัยอยู่บ้านพักชั้นสองหลังดังกล่าว โดยชั้นล่างเป็นห้องครัว กระทั่งเมื่อคืนมีเจ้าหน้าที่ปิดล้อมและได้ให้คนในบ้านเปิดไฟแล้วออกมาด้านนอก ตนและพนักงานอีก 5 คนก็วิ่งออกมา กระทั่งมารู้ว่าทั้งสองเป็นคนร้ายที่เจ้าหน้าที่ต้องการตัว การเจรจาพูดคุยให้กลุ่มคนร้ายออกมาสู่กระบวนการยุติธรรมของรัฐ กลับถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง แม้เจ้าหน้าที่รัฐ จะเชิญผู้นำศาสนาหลากหลายท่าน มาช่วยพูดคุยทำความเข้าใจต่อวิธีการต่อสู้จากการใช้ความรุนแรง มาเป็นการต่อสู้ด้วยพยานหลักฐาน ที่สำคัญคือ เพื่อให้มีความเข้าใจในหลักการของศาสนาที่ถูกต้องว่า การต่อสู้ด้วยอาวุธที่กลุ่มคนเหล่านี้คิดนั้นไม่ใช่วิถีทางตามคำสอนของศาสนาแต่อย่างใด ที่คนร้ายกลุ่มนี้ กำลังมีความเชื่อผิดๆ ที่ถูกสั่งสมบ่มเพาะมาจนถึงรากเหง้าให้เชื่ออย่างสนิทใจว่า การกระทำของพวกเขานั้น เป็นการต่อสู้เพื่อพวกพ้องที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และพร้อมจะตายในการต่อสู้ เพื่อหวังจะเป็น"ชาฮีด" หรือ “วีรบุรุษ” ตามที่เชื่อมา หากความจริงทางศาสนาในกรณีความเชื่อเรื่อง "ชาฮีด" หรือ “วีรบุรุษ” เป็นความสำคัญลำดับต้นๆ ของการปลุกระดมหล่อหลอมผู้คนโดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นหนุ่มให้เชื่ออย่างสนิทใจในการการจับอาวุธเข้าต่อสู้ด้วยความรุนแรงกับรัฐ กลายเป็นกลุ่มคนในพื้นที่ที่จับอาวุธเข้าต่อสู้กับรัฐ อาละวาดสร้างความเสียหายสะเทือนขวัญผู้คนไปทั่ว โดยมีกลุ่มคนที่เป็นแนวร่วมมวลชนที่คอยให้การสนับสนุนการต่อสู้ด้วยความรุนแรงดังกล่าวอย่างสนิทใจว่ากลุ่มตนกำลังต่อสู้เยี่ยงวีระบุรุษแม้จะต้องสูญเสียอะไรไป และเมื่อคนสองกลุ่มนี้ มารวมตัวร่วมขบวนการกันต่อสู้กับรัฐ จึงเป็นการยากที่ฝ่ายรัฐจะสอดแทรกทำความเข้าใจที่ถูกต้องใหม่ได้ว่า ความเชื่อเรื่อง "ชาฮีด" หรือ “วีรบุรุษ” เหล่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะประเด็นคือว่าการกระทำด้วยความรุนแรงอย่างที่ผ่านๆ มา จนถึงวันนี้นั้น จะเป็นวีรบุรุษ หรือชาฮีด ตามที่กล่าวอ้างได้อย่างไร การขัดขืนการจับกุม ไม่ยอมรับฟังการให้สติปัญญาแง่คิดใหม่ๆ ที่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา แม้กระทำโดยผู้นำศาสนาในท้องถิ่น คนกลุ่มนี้ ก็ยังไม่เปิดใจรับฟังและไม่ยอมเปลี่ยนความคิด ความเชื่อแม้แต่น้อย หากยังคงยืนกรานในวิถีการต่อสู้ของคนอย่างสุดโต่ง มุ่งต่อต้านอำนาจรัฐโดยการฝ่าฝืนกฎหมายของรัฐในทุกวิถีทาง โดยเข้าใจผิดว่าเป็นการต่อสู้เยี่ยงวีระบุรุษ หรือ ชาอีด การไม่ยอมออกมามอบตัวของคนกลุ่มนี้ จึงชี้ชัดว่า คนในขบวนการร้ายแห่งนี้ ยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่ออย่างสนิทใจ มีความคิดสุดโต่งที่เห็นแปลกแยกจากคนกลุ่มอ่านของรัฐอย่างสิ้นเชิง โดยไม่มีช่องทางในการเปลี่ยนความคิดความเชื่อแต่อย่างใดทั้งสิ้น การต่อสู้ด้วยอาวุธจนตัวตาย หลังจากการเจรจาพูดคุยทำความเข้าใจใหม่จากผู้นำศาสนาครั้งนี้ จึงชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกเขาจึงต้องการเดินทางไปในแนวทางการเป็น“ชาอีด” หรือการสร้างให้ตนเองเป็นวีรบุรุษ ตามขบวนการ“ชาอีด” เพื่อสร้าง “วีรบุรุษผู้พลีชีพ” อย่างเลื่อนลอยที่ได้รับการปลุกปั่นมา หากแต่แท้ที่จริงแล้วการ “ชาอีด” นั้น ต้องเป็นการต่อสู้เพื่อศาสนา หาใช่การต่อสู้อย่างเลื่อนลอยเช่นนี้ไม่ ในขณะที่ยังมีคนบางกลุ่มพยายามเขียนประวัติศาสตร์เชิงลบ ให้ร้ายสร้างความแตกแยกแบ่งฝ่าย สร้างความเห็นต่างในทุกรูปแบบนำไปสู่ความเกลียดชัง และชี้นำให้เกิดแนวคิดการต่อสู้กับผู้เห็นต่าง โดยปลูกฝังแนวคิดชาติพันธุ์นิยม (Nationalism) สร้างอคติ สร้างการไม่ยอมรับผู้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ก่อความขัดแย้งจนเกิดการต่อสู้ เข่นฆ่าผู้เห็นต่างและผู้มีแตกต่างทั้งหลายอย่างไร้เหตุผล และพยายามถ่ายทอดแนวคิดผิดๆ เหล่านี้ โดยแอบอ้างว่าเป็นอุดมการณ์ อันผิดเพี้ยนของตนเอง ไปสู่ลูกหลานคนรุ่นต่อๆ มาให้เข้าใจในประวัติศาสตร์และการต่อสู้ที่คลาดเคลื่อน ชี้นำให้เข้าใจว่า คนรุ่นปัจจุบันต้องเข้ามารับช่วงแบกภาระ รับผิดชอบต่อเรื่องราวของบรรพบุรุษในอดีตที่ได้กระทำหรือถูกกระทำมาอย่างไม่เป็นธรรม เหล่านี้คือมุมมองหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่า การต่อสู้ทางความคิดกับคนในขบวนการแห่งนี้ ที่รัฐ หมายมั่นปั้นมือว่า จะสามารถนำความจริงที่จริงกว่า มาเปิดโลกทัศน์ให้คนในขบวนการทั้งหลายได้มีมุมมองใหม่ และยอมรับความเห็นต่างจนนำไปสู่การเปลี่ยนความคิด ความเชื่อที่ถูกปลุกปั่นมาในอดีต ให้กลับมาคิดใหม่ เดินตามแนวทางสันติวิธีที่ศาสนาสั่งสอนให้เป็นหนทางของการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และมองเพื่อนมนุษย์เฉกเช่นญาติมิตรของตน แม้ว่าจะต่างความคิดความเชื่อและต่างวิถีชีวิตก็ตาม สันติสุขจึงเป็นเป้าหมายปลายทางของชีวิตตามหลักการของศาสนาที่แท้ หากแต่ว่า ปรากฏการณ์การต่อสู้จนตัวตายของคนในกลุ่มก่อความไม่สงบที่ติดอาวุธครั้งนี้ ได้ตอกย้ำฝ่ายความมั่นคงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า การเอาชนะทางความคิด โดยเอาความจริงที่จริงกว่าเข้าไปต่อสู้กับคนหัวคิดสุดโต่งของขบวนการแห่งนี้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะให้ผู้นำศาสนาที่น่าเชื่อถือ มาร่วมให้แสงสว่างอีกมุมหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองคนเหล่านี้ได้ ความเชื่อของการต่อสู้เยี่ยงวีระบุรุษ หรือ ชาอีด จึงชี้ให้เห็นว่าเหนียวแน่นในมโนสำนึกของกลุ่มคนหัวคิดสุดโต่ง จนไม่น่าจะเสียเวลาไปกับการเอาชนะทางความคิดของคนในลักษณะนี้ที่ยังแอบแฝงอยู่ในชุมชนนับไม่ถ้วนได้ อย่างไรก็ตาม หากแต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็ยังพอใจชื้นอยู่บ้าง เมื่อการปฏิบัติการไล่ล่า จนสามารถรู้แหล่งกบดาน แอบซ่อนตัวในรีสอร์ทแห่งนี้ จนสามารถปิดล้อมเพื่อพยายามนำตัวมาสู่กระบวนการยุติธรรมของรัฐนั้น เป็นผลมาจากความร่วมมือในการให้ข่าวของมวลชน แหล่งข่าวในพื้นที่ ปรากฏการณ์นี้ จึงเป็นสองมุมมองที่น่าศึกษา หาจุดอ่อน จุดแข็ง เพื่อหนทางในการนำสันติสุขมาสู่พี่น้องคนไทยในพื้นที่นี้ได้อย่างแท้จริง